วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช


ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์


ชีวประวัติของปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช


        รกรากของครอบครัวแฟเบอร์เชนั้นมาจากประเทศฝรั่งเศส ด้วยความที่ครอบครัวเป็น Huguenot ที่เป็นโปรเตสแตนท์พวกเขาจึงได้อพยพหนีกันออกไปจากพระราชกฤษฎีกาแห่งนองซ์ในปีค.ศ. 1685 ที่จะลบล้างอูเกอโนท์ (Huguenots) หรือชาวฝรั่งเศสผู้ที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ออกจากฝรั่งเศส ตระกูลแฟเบอร์เชบางส่วนก็ย้ายไปตั้งรกรากทั้งในเยอรมนี เอสโทเนีย และ รัสเซียสำหรับ ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช โดยในปีค.ศ. 1842 พ่อของแฟเบอร์เช กุสตาฟได้มาตั้งร้านจิลเวลลี่ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์

ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เชเองเกิดเมื่อปีค.ศ. 1846 ในกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ด้วยความที่ครอบครัวของเขาเป็นช่างทองตั้งแต่ในอดีต เขาจึงได้ไปศึกษาเล่าเรียนทักษะในด้านงานช่างทองในเยอรมนี หลังจากจบการศึกษามา เขาก็เริ่มต้นนำทักษะของเขามาใช้ในงานจริง ด้วยวัย 24 ปี แฟเบอร์เชก็ได้เปิดกิจการอัญมณีในรัสเซียที่เซนต์ปีเตอร์เบิร์กอีกครั้งในปี ค.ศ. 1870 หลังจากพ่อของเขาได้เกษียณและเลิกทำกิจการไป กว่า10ปีในการเป็นหัวเรือใหญ่ในธุรกิจ เขาได้พยายามสร้างสรรค์งานของเขาให้เทียบเท่าและสูงกว่างานของช่างอัญมณีทั่วไป หากมีเวลาว่างเมื่อไหร่เขาก็จะทุ่มเวลากับการศึกษามรดกสมบัติที่ล้วนมีค่าที่เก็บสะสมไว้โดยพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ที่แฟเบอร์เชได้เห็นจากแคตาล็อกประเมินราคา และการซ่อมแซมงานพวกนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ทำธุรกิจใหม่ขึ้นโดยความช่วยเหลือจากน้องชายชื่ออการ์ธอน (Agathon) สู่การเปลี่ยนโฉมหน้าครั้งใหญ่ของงานศิลปะอัญมณี โดยในปีค.ศ 1882 คาร์ลและน้องชายอาการ์ธอนได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่ออกมาอย่างวิจิตร โดยได้แรงบัลดาลใจจากศิลปะของรัสเซียในยุคโบราณและผลงานชิ้นนี้ก็ถูกขายไป Eric Kollinช่างชาวฟินน์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมช่วยในจำนวนงานของสองพี่น้องนี้ที่จะนำไปจัดแสดงขึ้นในมอสโก พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่3และพระมเหสีซารีน่ามาเรีย ก็ทรงได้เข้าร่วมในงานแสดงผลงานล้ำค่าของแฟเบอร์เชด้วย นอกจากนั้นแล้วฟาบาเช่ยังได้ถูกเสนอได้รับเหรียญเกียรติยศ (Gold Medal at the Pan-Russian exhibition in 1882) ในฐานะที่ได้เปิดศักราชใหม่แห่งวงการศิลปะอัญมณี ในเวลานั้นผู้คนต่างหลงไหลในมูลค่าและความงามของงานอัญมณีที่ประดับด้วยโลหะมีค่าและอัญมณีหายาก ซึ่งแฟเบอร์เชนั้นก็เข้าใจดีว่าความคิดสร้างสรรค์ที่บรรเจิดและฝีมือช่างที่ดีจะนำไปสู่การสร้างเงินและมูลค่าของงานที่มหาศาล ในบรรดาเหล่าช่างทอง แฟเบอร์เชกลายเป็นชื่อที่ผู้คนจะสนใจอันดับแรกๆนอกจากนั้นเขายังได้จ้างมิคาอิล เพอร์ชิน (Michael Perchin) ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องทองและเครื่องเคลือบที่มาช่วยและแนะนำวิธีการ ด้วยความใส่ใจและการทดสอบวิธีการในงานศิลป์ และเขายังร่วมกันศึกษาพยายามทดลองจำลองเทคนิคงานในศิลปะช่วงต้น และเขาก็ได้รับความสำเร็จถึงขนาดที่พระเจ้าซาร์ไม่สามารถตัดสินพระทัยแยกแยะได้ในชิ้นกล่องบรรจุยานัตถุ์ ระหว่างชิ้นต้นแบบ กับชิ้นที่เลียนแบบที่เฟอร์เบอร์เช่สร้างขึ้น และในที่สุดแฟเบอร์เชก็กลายเป็นช่างของราชสำนักโรมานอฟโดยความไว้วางพระทัยของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่3 ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19
ไข่อัญมณีแฟเบอร์เช

โรงงาน (Workshop) ของแฟเบอร์เชนั้นก็ล้วนเต็มไปด้วยช่างทองและช่างอัญมณีที่มีฝีมือดีสุดเท่าที่หาได้ในเวลานั้น แฟเบอร์เชไม่ได้ทำเพียงแค่พวกงานไข่อีสเตอร์ที่เป็นตัวสร้างชื่อเสียงแก่ชื่อผลิตภัณฑ์ของเขาเท่านั้น ธุริกิจของเขายังแยกออกเป็นส่วนงานเล็กๆ อีกอย่างเช่น เครื่องโต๊ะเงิน อัญมณีประดับ ของกระจุกกระจิกเล็กๆ สไตล์ยุโรป งานแกะสลักสไตล์รัสเซีย โดยงานอัญมณีของแฟเบอร์เชนั้นก็ได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรหรูหราประดับด้วยสิ่งมีค่าและสิ่งที่มีค่าค่อนข้างสูงอย่าง ทอง เงิน มาลาไคต์ ลาพิซ เลซูลี และเพชร โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะในการตกแต่งสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าหลุยส์ที่16 ศิลปะแบบคลาสสิค เรเนสซองค์ บาโรก โรโคโค และ อาร์ทนูโว รวมทั้งอิทธิพลจาศิลปะของรัสเซียด้วย ซึ่งลวยลายในงานของแฟเบอร์เชจะแบ่งออกเป็นทั้งกลุ่มลวดลายดอกไม้ กลุ่มลวดลายสลัก และกลุ่มลวดลายสัตว์ นอกจากนั้นแล้วผลงานเลื่องชื่ออย่างไข่อีสเตอร์ก็เป็นที่หมายปองของเหล่างราชวงศ์โรมานอฟ รวมทั้งราชวงศ์ในยุโรปและเอเชีย โดยมีช่างระดับชั้นครูอย่างมิคาอิล อีวลามพีเยวิช เพอร์ชิน (Michael Evlampievich Perchin) และเฮนริค วิคสโตรม (Henrik Wigström) มารับผิดชอบด้วย โดยตัวงานของแฟเบอร์เชที่รับผิดชอบโดยมิคาอิล เพอร์ชิน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 จนถึงค.ศ. 1903 จะได้รับการประทับตราMP ส่วนงานที่รับผิดชอบโดย เฮนริค วิคสโตรม จะได้รับการประทับตราHW ในตัวงานเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางชิ้นในงานไข่อีสเตอร์ที่ไม่ได้รับการประทับตรา ซึ่งธุรกิจของแฟเบอร์เชนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก กิจการของฟาเปอร์เช่ขยายไปอย่างรวดเร็วจากสาขาเดียวที่เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ก็ขยายไปยังมอสโกในปีค.ศ. 1887 และขยายกิจการไปยังเมืองเคียฟ โอเดซซา และลอนดอนในปีค.ศ. 1906 ผลงานที่งดงามที่ออกมาราวกับร่ายด้วยเวทมนตร์ก็ได้ยุติลงเมื่อมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1917 รัฐก็ยึดงานและโรงงานกลับคืนมาเป็นของรัฐในช่วงต้นค.ศ. 1918 แฟเบอร์เชนั้นก็ได้ลี้ภัยออกไปยังฟินด์แลนด์โดยการช่วยเหลือของคนในสถานทูตอังกฤษ และย้ายมาสู่เมืองวิย์สบาเดน ในเยอรมนีในปีค.ศ. 1920 ในปีเดียวกันนั้นเอง ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เช ก็ได้เสียชีวิตที่เมืองลูเซิน ในสวิตเซอร์แลนด์ ภายหลังศพของเขาได้ฝังไว้เคียงข้างออกุสตา อกาธอน แฟเบอร์เช (Augusta Agathon Faberge) ภรรยาอันเป็นที่รักที่หนีรอดออกมาจากสหภาพโซเวียตได้ในปี 1928 โดยฝังไว้ที่ Cimetière du Grand Jas ที่เมืองคาร์ล ในฝรั่งเศสด้วยวัย 74 ปี

ชื่อของ ปีเตอร์ คาร์ล แฟเบอร์เชนั้นก็ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดของช่างอัญมณีในศตวรรษที่ 19 และชิ้นงานเก่าของแฟเบอร์เชนั้นก็ถูกประมูลขายกันในมูลค่าที่สูงมากในปัจจุบัน โดยผลงานไข่อีสเตอร์นั้นถูกทยอยขายโดยพรรคคอมมิวนิตส์ในช่วงทศวรรษที่30 ซึ่งในปัจจุบันผลงานส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะคอลเลคชั่นของนักธุรกิจอเมริกา นายมัลคอม สตีเวนสัน ฟอบส์ (Malcolm Stevenson Forbes) ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แต่ก็มีเหลืออยู่บ้างในมอสโก และมีการนำประมูลกลับมาโดยนักธุรกิจที่ร่ำรวยจากธุรกิจน้ำมันทีเอ็นเค (TNK) นายวิคเตอร์ เวคเซลเบิร์ก ที่ประมูลมาจากครอบครัวของฟอบส์ (Forbes) ถึง 9 ชิ้น โดยได้นำเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ที่อาคารจัดแสดงเวคเซลเบิร์ก (Vekselberg) ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น