วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเทศเบลเยี่ยม


                   กรุง Brussels เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า เป็นที่ตั้งขององค์การสนธิสัญญาป้องกัน
แอตแลนติกเหนือ (NATO) เป็นที่ตั้งส้านักงานใหญ่และหน่วยงานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU)                
             
Antwerp เป็นเมืองท่าที่ส้าคัญ เป็นศูนย์กลางที่ส้าคัญแห่งหนึ่งของสายรถไฟในสหภาพยุโรป
และมีอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์

Liege เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรกล

Ghent เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมทอผ้า และเป็นเมืองท่าภายในประเทศที่ใช้ขนส่งทางน้้า

Chareleroi เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมถ่านหิน และอุตสาหกรรมเหล็ก



                 การลงทุนในเบลเยียมนั้น หมายถึง การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ในทุกเขตแดนภายในประเทศเนื่องจากประเทศเต็มไปด้วยความพร้อมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน พลังงานและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ นครเอกอย่างกรุงบรัสเซลส์ยังสนับสนุนการลงทุนอันมีจุดดึงดูดในเรื่องแรงจูงใจ เครื่องมือช่วยเหลือและองค์ประกอบต่างๆในการท้าธุรกิจซึ่งทั้งหมดนี้ท้าให้การลงทุน
           
               การฝึกอบรม การจ้างงาน การขนส่ง การท้าการวิจัยและการพัฒนาสิ่งต่างๆ สะดวกมากยิ่งขึ้น
กรุงบรัสเซสล์เองเป็นที่ตั้งสถานที่ส้าคัญของกลุ่มสหภาพยุโรป ฉะนั้นกรุงบรัสเซสล์จึงเป็นกุญแจ
ส้าคัญในการพิจารณา สรุปการตัดสินใจต่างๆ และยังเป็นศูนย์รวมของแหล่งข้อมูลทางเศรษฐกิจอีกด้วย
               
               ในกรุงบรัสเซลส์เองมีจ้านวนล็อบบี้ลิส (Lobbyist) ไม่ต่้ากว่า 13,000 คนและเป็นอันดับสองรองจากกรุงวอชิงตัน ดีซี ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนอื่นๆรวมถึง เอ็นจีโอ ด้วย9
ส านักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก

            สภาพภูมิศาสตร์ของกรุงบรัสเซลส์เป็นจุดน่าสนใจเรื่องจากมีการขนส่งทางรถไฟที่ดีเยี่ยมเพียง
แค่หนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีจะเดินทางถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสและหนึ่งชั่วโมงห้าสิบเอ็ดนาทีถึงกรุง
ลอนดอน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันนี้มีบริษัทต่างชาติเล็กและใหญ่ได้เลือกจัดตั้งบริษัทและฐานการลงทุน
ในบรัสเซลส์มากมาย

สนธิสัญญามาสทริชท์

สนธิสัญญามาสทริชต์
                

            หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาว่าด้วยสหภาพยุโรป (ย่อ: TEU) ลงนามเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์
 พ.ศ. 2535 โดยสมาชิกประชาคมยุโรปในมาสทริชท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์   วันที่ 9-10 ธันวาคม พ.ศ. 2534
                นครแห่งเดียวกันนี้ได้เป็นที่ประชุมของสภายุโรปซึ่งร่างสนธิสัญญาดังกล่าว   ในโอกาสที่
สนธิสัญญาฯ มามีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ระหว่างคณะกรรมาธิการเดอลอร์ส (Delors Commission)   มีผลให้สหภาพยุโรปถูกจัดตั้งขึ้นและนำไปสู่การก่อตั้งเงินสกุลเดี่ยวของยุโรป คือ ยูโร สนธิสัญญามาสทริชต์ได้ถูกแก้ไขโดยสนธิสัญญาภายหลังในระดับหนึ่ง

ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนน


ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนนา

ที่ตั้ง ออสเตรียตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรปตอนกลาง ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ค สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
พื้นที่ 83,855 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่าไทย 6 เท่า)
ภูมิประเทศ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุและที่ราบลุ่มเพื่อการเพาะปลูก แม่น้ำดานูบไหลผ่านออสเตรียเป็น ระยะทาง 220 ไมล์ ร้อยละ 46 ของพื้นที่ประเทศเป็นป่าไม้ ออสเตรียมีภูมิประเทศที่สวยงามจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
เมืองหลวง กรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวงของออสเตรีย เป็นที่ตั้งของสำนักงานสหประชาชาติแห่งที่สาม และเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะการดนตรี
ประชากร 8 ล้านคน ร้อยละ 98 พูดภาษาเยอรมัน
ศาสนา ร้อยละ 78 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ร้อยละ 5 นับถือนิกายโปรแตสแตนท์
มีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนประมาณ 160,000 คนกฎหมายออสเตรียให้เสรีภาพแก่คนที่มีอายุ 14 ปี ในการเลือกนับถือศาสนา

ข้อมูลทั่วไป
คนออสเตรียเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่ชอบความรุนแรง รักธรรมชาติ สนับสนุนรัฐสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงาน และส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความรุนแรง และพยายามประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยและมั่นคง

ออสเตรียมีการผสานประโยชน์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้แทบไม่มีการนัดหยุดงาน และช่วยให้อัตราการว่างงานออสเตรียอยู่ในระดับต่ำ

การเมือง การปกครอง
ออสเตรียเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประกอบด้วย 9 จังหวัด คือ Burgenland, Carinthia, Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Tirol, Vorarlberg และเวียนนา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงและจังหวัด) แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระ
โดยทั่วไปจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อการปกครองตนเองเกือบทุกเรื่อง ยกเว้น การต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้ง

ออสเตรียมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภา ส่วนรัฐสภาประกอบด้วย สภาล่าง มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกจากสภาจังหวัด

ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ มีศาลพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญา (โทษสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโทษประหารชีวิต) และมีศาลพิเศษ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และศาลปกครองให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากการละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญหรือการกระทำมิชอบโดยฝ่ายบริหาร

เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของออสเตรียพึ่งพาการผลิตภาคอุตสาหกรรมและรายได้จากการค้า การบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นประเทศที่มั่งคั่งมากประเทศหนึ่งในยุโรป มีรายได้ประชาชาติต่อหัว 24,000 เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนมีการศึกษาสูงและ มีคุณภาพชีวิตที่ดี

อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ คือ เครื่องจักร อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ เหมืองแร่ อุตสาหกรรมเคมีและสิ่งทอ การเกษตร สามารถผลิตได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศ

ระบบเศรษฐกิจออสเตรียเป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สิน แต่รัฐจะเข้ามีบทบาทในการดำเนินอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และกิจการสาธารณูปโภค

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ออสเตรียดำเนินนโยบายเป็นกลางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จในการสถาปนากรุงเวียนนาเป็นสำนักงานแห่งที่สามขององค์การสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1979
นโยบายเป็นกลางของออสเตรียเป็นไปในลักษณะ active neutrality โดยให้ความร่วมมือในการรักษาสันติภาพและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ

ไทย-ออสเตรีย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรียมีมายาวนานกว่า 125 ปี ปัจจุบันไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา และมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์อยู่ที่เมือง Innsbruck, Salzburg และ Dornbine ส่วนออสเตรียมีสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ

                             

salsa



การเต้นซัลซ่าเป็นหนึ่งในจังหวะการเต้นสไตล์ลาติน ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบา โดยทั่วไปซัลซ่าแบ่งสไตล์การเต้นออกเป็น 2 สไตล์ คือแบบลาตินอเมริกา ซึ่งจะไม่เน้นลีลา แต่เน้นที่ท่วงท่าเซ็กซี่ และแบบคิวบา ซึ่งมีท่าเต้นนับร้อยๆ ท่า นอกจากนี้ยังมีซัลซ่าสไตล์เปอร์โตริโกอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนโดยพื้นฐานแล้วจะไม่ค่อยแตกต่างกันในเรื่องจังหวะและดนตรี แต่จะต่างกันที่สเต็ปการเต้น ซัลซ่าเป็นการเต้นที่เซ็กซี่ จังหวะของดนตรีและกลองจะสนุกสนานและเร้าใจมากกว่าการเต้นแบบอื่นๆ ผู้เต้นจะเน้นการใช้ body movement สื่อถึงความสง่างาม และดึงความเซ็กซี่ในตัวออกมา ที่แยกคลาสซัลซ่าถูกแยกออกมาจากคลาสลาตินอาจเป็นเพราะซัลซ่าเป็นจังหวะที่เต้นง่ายที่สุด ลักษณะการขยับเท้ามีแค่ก้าวหน้า-ก้าวหลัง จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มเต้นใหม่ๆ”

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตื่นตามหานครแห่งความร้อนใต้พิภพที่ "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน"

หากเอ่ยถึงอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลก...แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน" ( Yellowstone National Park) โดยอุทยานแห่งชาติตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และ ไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเยลโลว์สโตน (Yellowstone Plateau) อยู่ในระดับความสูง 8,000 ฟุต (2,400 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานยังถูกล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาร็อคกี้ (Rocky Mountains) โดยจุดที่สูงที่สุดของอุทยานคือ อีเกิ้ล พีค (Eagle Peak ) คือ มีความสูงประมาณ 11,358 ฟุต หรือ 3,462 เมตร และจุดต่ำสุด คือ รีส ครีค (Reese Creek ) ซึ่งมีความสูงประมาณ 5,282 ฟุต หรือ1,610 เมตร

     อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นอุทยานแห่งชาติที่นับว่ามีความหลายหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศเขตร้อนที่สมบูรณ์และที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากว่าพื้นส่วนใหญ่ของอุทยานนั้นประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่และสูงสูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ

     นอกจากนี้แล้ว อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนยังเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำพุร้อน ที่มีมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน(เป็นแมกมาใต้ดินที่พุ่งออกมา) และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล มีน้ำพุงออกมาทุกๆ 33 และ 93 นาที โดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี อีกทั้งยังมีน้ำตกกว่า 300 แห่งและสามารถค้นพบได้อีกมากมาย


สัตว์ป่าในเขต
อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     สำหรับบรรดาสัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนก็ถือว่ามีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่ หมีกริซซี่ หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลค์ แพะภูเขา บิ๊กฮอร์น แมวปา หมาป่า วัวกระทิง และนกอีกจำนวนหลายร้อยชนิด

     สำหรับการท่องเที่ยวในเขต "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน"นั้น สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆที่อยากแนะนำให้คุณไปชมเป็นที่แรก คือ แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตน (Grand Canyon of the Yellowstone) เป็นแคนยอนที่เกิดจากแม่น้ำเยลโลว์สโตน (Yellowstone River) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากน้ำตกเยลโลว์สโตน (Yellowstone Falls)

     โดยน้ำตกเยลโลว์สโตนนั้นประกอบไปด้วยน้ำตกจำนวน 2 น้ำตก คือน้ำตกโลว์เวอร์เยลโลว์สโตน (Upper Yellowstone Falls) และ น้ำตกอัพเปอร์เยลโลว์สโตน ( Lower Yellowstone Falls) แล้วไหลเข้าสู่ แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตนนั่นเอง


แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตน

     ต่อมาขอแนะนำวให้คุณไปชม ฟาวน์เทน เพนท์ พ็อท (Fountain Paint Pot) เป็นบริเวณที่อุดมไปด้วยบ่อโคลนเดือด บ่อน้ำร้อน บ่อน้ำพุร้อน และรอยแตกที่มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมา นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้อย่างใกล้ชิด บนเส้นทางที่ทางอุทยานกำหนดไว้ให้ ซึ่งบริเวณฟาวน์เทน เพนท์ พ็อท คุณจะได้พบกับสีสันอันสวยงามของเหล่าโคลนในบ่อ ซึ่งเกิดจากการเกิดออกซิเดชันของธาตุเหล็กในโคลนนั่นเอง


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม เหล่าบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน นั่นคือ โอลด์ เฟธฟูล เกย์เซอร์ (Old Faithful Geyser) ซึ่งประกอบไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก ตื่นตาไปกับสายน้ำพุร้อนที่พุ่งสูงกว่า 100 ฟุต บางครั้งถึง 200 ฟุต ในแต่ละครั้งที่ระเบิดออกมาระยะเวลาห่างของการระเบิดพวยพุ่งของน้ำพุจะห่างกันตั้งแต่ 40 ถึง 120 นาที แต่โดยเฉลี่ยแล้วคือประมาณ 70 นาที


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     ถัดมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน แมมมอธ ฮอตสปริง (Mammoth Hot Springs) บ่อน้ำพุร้อนอันสุดแสนสลับซับซ้อนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีมานานนับพันปี ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมในทัศนียภาพอันแปลกตาของแมมอธ ฮอตสปริง โดยเฉพาะภาพของต้นไม้ที่ตายยืนต้นตามชั้นหินที่เกิดจากการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนตแบบเข้มข้น ก่อเกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงามมากแห่งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปชมความงดงามของ ทะเลสาบเยลโลว์สโตน (Yellowstone Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีพื้นที่ครอบคลุม ครอบคลุม 136 ตารางไมล์ (350 กิโลเมตร 2) โดยทะเลสาบนั้นตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ประมาณ 7,732 ฟุต (2,376 เมตร)


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     ทะเลสาบเยลโลว์สโตน เป็นทะเลสาบที่อุดมไปด้วยปลานานาชนิด โดยเฉพาะปลาเทราท์ ปลาแซลมอน และอื่นๆ ซึ่งในทุกๆช่วงฤดูร้อนจะมีผู้มาเล่นเรือ ตกปลา และล่องเรือดูนกด้วย ส่วนในช่วงฤดูหนาวทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้เปลี่ยนทัศนียภาพรอบๆทะเลสาบมีความงดงามกว่าที่ไหนๆ 

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาเจลแลน (Ferdinand Magellan)


มาเจลแลน 

               เฟอร์ดินันด์ มาแจลแลน นักสำรวจชาวโปรตุเกส ได้เดินทางในปี ค.ศ. 1519 ในฐานะผู้ควบคุมคณะเดินทางสำรวจ ที่จะไปค้นหาเส้นทางเดินเรือทางตะวันตก เพื่อไปยังเกาะอินดีสตะวันออก
                มาแจลแลน ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอนแลนติก ทางปลายสุดของอเมริกาใต้ ผ่านช่องแคบ ที่ภายหลังได้ตั้งชื่อว่า ช่องแคบมาแจลแลน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา เมื่อมาถึงอีกด้านหนึ่งเขาก็ตั้งชื่อว่า มหาสมุทรแปซิฟิก แปลว่าความสงบ จากนั้นเขา ก็ได้เดินทางไปยังหมู่เกาะฟิลิปปิน ที่ซึ่งเขาได้ถูกฆ่าตาย ในการต่อสู้กับคนพื้นเมือง ลูกเรือคนหนึ่งของเขาได้เดินทางต่อไปจนสำเร็จ สมบรูณ์.



                                              majanlan.jpg (7280 bytes)
              

มาร์โค โปโล(Marco Polo)


มาร์โค โปโล

                           ในปี ค.ศ. 1271 ชายหนุ่มคนหนึ่งออกจากเวนิส พร้อมกัยบิดาและลุง เพื่อเดินทางไค้ขาย เขาคือ มาร์โค โปโล คณะของเขาเดินทางผ่านเปอร์เซีย อัฟกานิสถาน และภาคเหนือของทิเบต ผ่านประเทศที่ชาวยุโรปไม่รู้จัก   ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง   สู่ราชสำนักกุบไลข่าน และได้ถวายสาส์นจาก องค์สันตะปาปา แด่จักรพรรดิ
                           มาร์โค โปโล   ได้พักอยู่ในฐานะแขกเมือง ในประเทศจีน เขาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว และได้ไปเยือนประเทศต่างๆ ไกลจนถึงพม่า แล้ก็เดินทางกลับบ้านเกิดโดยเรือ แล่นอ้อมปลายใต้สุดของอินเดียไป แล้วเดินทางทางบก ผ่านเปอร์เซีย เขาได้จากประเทศของเขาไปนานถึง 24 ปี
                         3 ปี ต่อมา มาร์โค โปโลได้ถูกจับเป็นเชลยในการรบทางทะเล ระหว่างเวนิสกับเจนัว เขาได้เล่าเรื่องราว ของเขาให้เพื่อนนักโทษฟัง ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหนังสือชื่อ การเดินทางของ มาร์โค โปโล. 



วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama)


วาสโก ดา กามา

                การค้นหาเส้นทางเดินเรือจากยุโรปมายังเอเซีย เริ่มโดน ดีแอส และ ดีโอโก แคม แต่ภาระนี้ได้สำเร็จลงโดย วาสโก ดา กามา นักเดินเรือชาวโปรตุเกส
               วาสโก ดา กามา ได้ตั้งต้นจากลิสบอน และแล่นเรือไปยังหมู่เกาะเคปเวอร์ด โดยแล่นไปทางใต้อ้อมแหลมกู้ดโฮป ไปตามชายฝั่งตะวันออกไกลไปทางเหนือจนมาถึงมาลีนดี (คีนยา) เขาได้ข้ามมหาสมุทรอินเดีย   และในปีค.ศ. 1498 ก็ได้บรรลุ ถึงชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย   และในปี ค.ศ.1499 เขาก็เดินทางกลับโปรตุเกส และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เขาเดินทางไปอินเดียอีกสองครั้ง ในปี ค.ศ.1502 และค.ศ. 1524.


vadgo.jpg (12849 bytes)

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Five Children and It


The Psammead

The Psammead
In Five Children and It, the Psammead is described as having “eyes [that] were on long horns like a snail’s eyes, and it could move them in and out like telescopes; it had ears like a bat’s ears, and its tubby body was shaped like a spider’s and covered with thick soft fur; its legs and arms were furry too, and it had hands and feet like a monkey’s” and whiskers like a rat. When it grants wishes it stretches out its eyes, holds its breath and swells alarmingly.
The five children find the Psammead in a gravel-pit, which used to be seashore. There were once many Psammeads but the others died because they got cold and wet. It is the only one of its kind left. It is thousands of years old and remembers pterodactyls and other ancient creatures. When the Psammeads were around, they granted any wishes, mostly for food. The wished-for objects would turn into stone at sunset if they were not used that day, but this doesn't apply to the children's wishes because what they wish for is so much more fantastic than the wishes the Psammead had granted in the past.  (Chapter 1)
The name Psammead, (pronounced “Sammyadd” by the children in the story) appears to be an inventive Greek pun coined by Nesbit (from the Greek ψάμμος "sand" after the pattern of dryad,naiadoread, etc.) upon the name of “Samyaza” the leader of the Grigori (“Watchers”, from Greek egrḗgoroi) supernatural creatures ofantediluvian myth. Knowing the pun's in-joke shows the logic at work behind the creature's phobia of water — “nasty wet bubbling sea” — and why its eyes are placed watchfully upon the ends of long horns like a snail's eyes.