วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Salut Luisa ^__^

Salut Luisa

 Je m'appell Meaw  J'ai 17 ans .

  J'habite en THAÏLAND  à Nakorn Pathom avec mes parants.

  Il y a 4 personne  dans ma famille : mon père  ma mère  mon pettie fère et moi ,je suis grand et mignonne.

  Je suis une lycéene.    J'adore lire les livres.  
     
 J'aime de la musiqe et j'aime un boy band nom One direction.

  Et  vous?
                               
                                                                                                               
                                                                                                                                  Gros bisous  ^__^

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Ada Lovelace


Ada Lovelace คือใครประวัติ Ada Lovelace เป็นอย่างไร 

วันนี้เป็นโลโก้เว็บกูเกิ้ลน่าจะเป็นบุคคลสำคัญด้านใดด้านหนึ่งเราไปทำความรู้จักกันสักหน่อยครับ
Ada LovelaceAda Lovelace มีชื่อเต็มว่า Lady Augusta Ada Byron, Countess of Lovelace (เอดา ไบรอน เลิฟเลซ) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) เป็นบุคคลสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์ที่น่าเรียนรู้ประวัติของท่านเป็นอย่างยิ่งเพราะท่านคือโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
Ada Lovelace ศึกษาด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และได้รู้จักกับ ชาร์ลส แบบเบจ ในงานสังสรรค์แห่งหนึ่ง เธอได้ใช้ความรู้ความสามารถในการสร้างภาษาสำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical engine) ของชาร์ลส แบบเบจ
เครื่องมือนี้สามารถรับโปรแกรมและทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมได้ โดยท่านได้เสนอเทคนิคการเขียนโปรแกรมแบบวนรอบซ้ำ ๆ ที่เรียกว่า loop จนเป็นพื้นฐานการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เธอเชื่อว่าต่อไปเครื่องมืออันนี้จะมีความสามารถที่จะแต่งเพลงที่ซับซ้อน สร้างภาพกราฟิก นำมาใช้เพื่อการคำนวณขั้นสูง และพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ได้
เอดาได้แนะนำแบบเบจให้ลองเขียนแผนผังการทำงาน ของเครื่องมืออันนี้ให้สามารถคำนวณ Bernoulli numbers ขึ้นมา ต่อมาแผนการทำงานที่แบบเบจเขียนนั้นได้ถูกยกย่องว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์แรกของโลก เธอจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
ต่อมาไม่นานสุขภาพของเธอก็เริ่มมีปัญหาและก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 37 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ได้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์มาตรฐาน ISO ขึ้นมาตัวแรก และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Ada Lovelace ว่า ภาษา “ADA”


Read more: http://www.comfixclub.com/ada-lovelace/#ixzz2EeUnpKFL

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเทศเบลเยี่ยม


                   กรุง Brussels เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า เป็นที่ตั้งขององค์การสนธิสัญญาป้องกัน
แอตแลนติกเหนือ (NATO) เป็นที่ตั้งส้านักงานใหญ่และหน่วยงานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU)                
             
Antwerp เป็นเมืองท่าที่ส้าคัญ เป็นศูนย์กลางที่ส้าคัญแห่งหนึ่งของสายรถไฟในสหภาพยุโรป
และมีอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์

Liege เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรกล

Ghent เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมทอผ้า และเป็นเมืองท่าภายในประเทศที่ใช้ขนส่งทางน้้า

Chareleroi เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมถ่านหิน และอุตสาหกรรมเหล็ก



                 การลงทุนในเบลเยียมนั้น หมายถึง การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ในทุกเขตแดนภายในประเทศเนื่องจากประเทศเต็มไปด้วยความพร้อมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน พลังงานและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ นครเอกอย่างกรุงบรัสเซลส์ยังสนับสนุนการลงทุนอันมีจุดดึงดูดในเรื่องแรงจูงใจ เครื่องมือช่วยเหลือและองค์ประกอบต่างๆในการท้าธุรกิจซึ่งทั้งหมดนี้ท้าให้การลงทุน
           
               การฝึกอบรม การจ้างงาน การขนส่ง การท้าการวิจัยและการพัฒนาสิ่งต่างๆ สะดวกมากยิ่งขึ้น
กรุงบรัสเซสล์เองเป็นที่ตั้งสถานที่ส้าคัญของกลุ่มสหภาพยุโรป ฉะนั้นกรุงบรัสเซสล์จึงเป็นกุญแจ
ส้าคัญในการพิจารณา สรุปการตัดสินใจต่างๆ และยังเป็นศูนย์รวมของแหล่งข้อมูลทางเศรษฐกิจอีกด้วย
               
               ในกรุงบรัสเซลส์เองมีจ้านวนล็อบบี้ลิส (Lobbyist) ไม่ต่้ากว่า 13,000 คนและเป็นอันดับสองรองจากกรุงวอชิงตัน ดีซี ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนอื่นๆรวมถึง เอ็นจีโอ ด้วย9
ส านักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก

            สภาพภูมิศาสตร์ของกรุงบรัสเซลส์เป็นจุดน่าสนใจเรื่องจากมีการขนส่งทางรถไฟที่ดีเยี่ยมเพียง
แค่หนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีจะเดินทางถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสและหนึ่งชั่วโมงห้าสิบเอ็ดนาทีถึงกรุง
ลอนดอน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันนี้มีบริษัทต่างชาติเล็กและใหญ่ได้เลือกจัดตั้งบริษัทและฐานการลงทุน
ในบรัสเซลส์มากมาย

สนธิสัญญามาสทริชท์

สนธิสัญญามาสทริชต์
                

            หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาว่าด้วยสหภาพยุโรป (ย่อ: TEU) ลงนามเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์
 พ.ศ. 2535 โดยสมาชิกประชาคมยุโรปในมาสทริชท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์   วันที่ 9-10 ธันวาคม พ.ศ. 2534
                นครแห่งเดียวกันนี้ได้เป็นที่ประชุมของสภายุโรปซึ่งร่างสนธิสัญญาดังกล่าว   ในโอกาสที่
สนธิสัญญาฯ มามีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ระหว่างคณะกรรมาธิการเดอลอร์ส (Delors Commission)   มีผลให้สหภาพยุโรปถูกจัดตั้งขึ้นและนำไปสู่การก่อตั้งเงินสกุลเดี่ยวของยุโรป คือ ยูโร สนธิสัญญามาสทริชต์ได้ถูกแก้ไขโดยสนธิสัญญาภายหลังในระดับหนึ่ง

ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนน


ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนนา

ที่ตั้ง ออสเตรียตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรปตอนกลาง ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ค สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
พื้นที่ 83,855 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่าไทย 6 เท่า)
ภูมิประเทศ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุและที่ราบลุ่มเพื่อการเพาะปลูก แม่น้ำดานูบไหลผ่านออสเตรียเป็น ระยะทาง 220 ไมล์ ร้อยละ 46 ของพื้นที่ประเทศเป็นป่าไม้ ออสเตรียมีภูมิประเทศที่สวยงามจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
เมืองหลวง กรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวงของออสเตรีย เป็นที่ตั้งของสำนักงานสหประชาชาติแห่งที่สาม และเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะการดนตรี
ประชากร 8 ล้านคน ร้อยละ 98 พูดภาษาเยอรมัน
ศาสนา ร้อยละ 78 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ร้อยละ 5 นับถือนิกายโปรแตสแตนท์
มีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนประมาณ 160,000 คนกฎหมายออสเตรียให้เสรีภาพแก่คนที่มีอายุ 14 ปี ในการเลือกนับถือศาสนา

ข้อมูลทั่วไป
คนออสเตรียเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่ชอบความรุนแรง รักธรรมชาติ สนับสนุนรัฐสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงาน และส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความรุนแรง และพยายามประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยและมั่นคง

ออสเตรียมีการผสานประโยชน์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้แทบไม่มีการนัดหยุดงาน และช่วยให้อัตราการว่างงานออสเตรียอยู่ในระดับต่ำ

การเมือง การปกครอง
ออสเตรียเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประกอบด้วย 9 จังหวัด คือ Burgenland, Carinthia, Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Tirol, Vorarlberg และเวียนนา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงและจังหวัด) แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระ
โดยทั่วไปจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อการปกครองตนเองเกือบทุกเรื่อง ยกเว้น การต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้ง

ออสเตรียมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภา ส่วนรัฐสภาประกอบด้วย สภาล่าง มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกจากสภาจังหวัด

ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ มีศาลพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญา (โทษสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโทษประหารชีวิต) และมีศาลพิเศษ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และศาลปกครองให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากการละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญหรือการกระทำมิชอบโดยฝ่ายบริหาร

เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของออสเตรียพึ่งพาการผลิตภาคอุตสาหกรรมและรายได้จากการค้า การบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นประเทศที่มั่งคั่งมากประเทศหนึ่งในยุโรป มีรายได้ประชาชาติต่อหัว 24,000 เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนมีการศึกษาสูงและ มีคุณภาพชีวิตที่ดี

อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ คือ เครื่องจักร อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ เหมืองแร่ อุตสาหกรรมเคมีและสิ่งทอ การเกษตร สามารถผลิตได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศ

ระบบเศรษฐกิจออสเตรียเป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สิน แต่รัฐจะเข้ามีบทบาทในการดำเนินอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และกิจการสาธารณูปโภค

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ออสเตรียดำเนินนโยบายเป็นกลางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จในการสถาปนากรุงเวียนนาเป็นสำนักงานแห่งที่สามขององค์การสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1979
นโยบายเป็นกลางของออสเตรียเป็นไปในลักษณะ active neutrality โดยให้ความร่วมมือในการรักษาสันติภาพและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ

ไทย-ออสเตรีย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรียมีมายาวนานกว่า 125 ปี ปัจจุบันไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา และมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์อยู่ที่เมือง Innsbruck, Salzburg และ Dornbine ส่วนออสเตรียมีสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ

                             

salsa



การเต้นซัลซ่าเป็นหนึ่งในจังหวะการเต้นสไตล์ลาติน ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบา โดยทั่วไปซัลซ่าแบ่งสไตล์การเต้นออกเป็น 2 สไตล์ คือแบบลาตินอเมริกา ซึ่งจะไม่เน้นลีลา แต่เน้นที่ท่วงท่าเซ็กซี่ และแบบคิวบา ซึ่งมีท่าเต้นนับร้อยๆ ท่า นอกจากนี้ยังมีซัลซ่าสไตล์เปอร์โตริโกอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนโดยพื้นฐานแล้วจะไม่ค่อยแตกต่างกันในเรื่องจังหวะและดนตรี แต่จะต่างกันที่สเต็ปการเต้น ซัลซ่าเป็นการเต้นที่เซ็กซี่ จังหวะของดนตรีและกลองจะสนุกสนานและเร้าใจมากกว่าการเต้นแบบอื่นๆ ผู้เต้นจะเน้นการใช้ body movement สื่อถึงความสง่างาม และดึงความเซ็กซี่ในตัวออกมา ที่แยกคลาสซัลซ่าถูกแยกออกมาจากคลาสลาตินอาจเป็นเพราะซัลซ่าเป็นจังหวะที่เต้นง่ายที่สุด ลักษณะการขยับเท้ามีแค่ก้าวหน้า-ก้าวหลัง จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มเต้นใหม่ๆ”

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตื่นตามหานครแห่งความร้อนใต้พิภพที่ "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน"

หากเอ่ยถึงอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลก...แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน" ( Yellowstone National Park) โดยอุทยานแห่งชาติตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และ ไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเยลโลว์สโตน (Yellowstone Plateau) อยู่ในระดับความสูง 8,000 ฟุต (2,400 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานยังถูกล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาร็อคกี้ (Rocky Mountains) โดยจุดที่สูงที่สุดของอุทยานคือ อีเกิ้ล พีค (Eagle Peak ) คือ มีความสูงประมาณ 11,358 ฟุต หรือ 3,462 เมตร และจุดต่ำสุด คือ รีส ครีค (Reese Creek ) ซึ่งมีความสูงประมาณ 5,282 ฟุต หรือ1,610 เมตร

     อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นอุทยานแห่งชาติที่นับว่ามีความหลายหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศเขตร้อนที่สมบูรณ์และที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากว่าพื้นส่วนใหญ่ของอุทยานนั้นประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่และสูงสูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ

     นอกจากนี้แล้ว อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนยังเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำพุร้อน ที่มีมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน(เป็นแมกมาใต้ดินที่พุ่งออกมา) และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล มีน้ำพุงออกมาทุกๆ 33 และ 93 นาที โดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี อีกทั้งยังมีน้ำตกกว่า 300 แห่งและสามารถค้นพบได้อีกมากมาย


สัตว์ป่าในเขต
อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     สำหรับบรรดาสัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนก็ถือว่ามีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่ หมีกริซซี่ หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลค์ แพะภูเขา บิ๊กฮอร์น แมวปา หมาป่า วัวกระทิง และนกอีกจำนวนหลายร้อยชนิด

     สำหรับการท่องเที่ยวในเขต "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน"นั้น สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆที่อยากแนะนำให้คุณไปชมเป็นที่แรก คือ แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตน (Grand Canyon of the Yellowstone) เป็นแคนยอนที่เกิดจากแม่น้ำเยลโลว์สโตน (Yellowstone River) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากน้ำตกเยลโลว์สโตน (Yellowstone Falls)

     โดยน้ำตกเยลโลว์สโตนนั้นประกอบไปด้วยน้ำตกจำนวน 2 น้ำตก คือน้ำตกโลว์เวอร์เยลโลว์สโตน (Upper Yellowstone Falls) และ น้ำตกอัพเปอร์เยลโลว์สโตน ( Lower Yellowstone Falls) แล้วไหลเข้าสู่ แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตนนั่นเอง


แกรนด์ แคนยอน แห่งเยลโลว์สโตน

     ต่อมาขอแนะนำวให้คุณไปชม ฟาวน์เทน เพนท์ พ็อท (Fountain Paint Pot) เป็นบริเวณที่อุดมไปด้วยบ่อโคลนเดือด บ่อน้ำร้อน บ่อน้ำพุร้อน และรอยแตกที่มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมา นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้อย่างใกล้ชิด บนเส้นทางที่ทางอุทยานกำหนดไว้ให้ ซึ่งบริเวณฟาวน์เทน เพนท์ พ็อท คุณจะได้พบกับสีสันอันสวยงามของเหล่าโคลนในบ่อ ซึ่งเกิดจากการเกิดออกซิเดชันของธาตุเหล็กในโคลนนั่นเอง


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม เหล่าบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน นั่นคือ โอลด์ เฟธฟูล เกย์เซอร์ (Old Faithful Geyser) ซึ่งประกอบไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก ตื่นตาไปกับสายน้ำพุร้อนที่พุ่งสูงกว่า 100 ฟุต บางครั้งถึง 200 ฟุต ในแต่ละครั้งที่ระเบิดออกมาระยะเวลาห่างของการระเบิดพวยพุ่งของน้ำพุจะห่างกันตั้งแต่ 40 ถึง 120 นาที แต่โดยเฉลี่ยแล้วคือประมาณ 70 นาที


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     ถัดมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน แมมมอธ ฮอตสปริง (Mammoth Hot Springs) บ่อน้ำพุร้อนอันสุดแสนสลับซับซ้อนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีมานานนับพันปี ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมในทัศนียภาพอันแปลกตาของแมมอธ ฮอตสปริง โดยเฉพาะภาพของต้นไม้ที่ตายยืนต้นตามชั้นหินที่เกิดจากการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนตแบบเข้มข้น ก่อเกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงามมากแห่งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปชมความงดงามของ ทะเลสาบเยลโลว์สโตน (Yellowstone Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีพื้นที่ครอบคลุม ครอบคลุม 136 ตารางไมล์ (350 กิโลเมตร 2) โดยทะเลสาบนั้นตั้งอยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ประมาณ 7,732 ฟุต (2,376 เมตร)


อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

     ทะเลสาบเยลโลว์สโตน เป็นทะเลสาบที่อุดมไปด้วยปลานานาชนิด โดยเฉพาะปลาเทราท์ ปลาแซลมอน และอื่นๆ ซึ่งในทุกๆช่วงฤดูร้อนจะมีผู้มาเล่นเรือ ตกปลา และล่องเรือดูนกด้วย ส่วนในช่วงฤดูหนาวทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้เปลี่ยนทัศนียภาพรอบๆทะเลสาบมีความงดงามกว่าที่ไหนๆ 

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาเจลแลน (Ferdinand Magellan)


มาเจลแลน 

               เฟอร์ดินันด์ มาแจลแลน นักสำรวจชาวโปรตุเกส ได้เดินทางในปี ค.ศ. 1519 ในฐานะผู้ควบคุมคณะเดินทางสำรวจ ที่จะไปค้นหาเส้นทางเดินเรือทางตะวันตก เพื่อไปยังเกาะอินดีสตะวันออก
                มาแจลแลน ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอนแลนติก ทางปลายสุดของอเมริกาใต้ ผ่านช่องแคบ ที่ภายหลังได้ตั้งชื่อว่า ช่องแคบมาแจลแลน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา เมื่อมาถึงอีกด้านหนึ่งเขาก็ตั้งชื่อว่า มหาสมุทรแปซิฟิก แปลว่าความสงบ จากนั้นเขา ก็ได้เดินทางไปยังหมู่เกาะฟิลิปปิน ที่ซึ่งเขาได้ถูกฆ่าตาย ในการต่อสู้กับคนพื้นเมือง ลูกเรือคนหนึ่งของเขาได้เดินทางต่อไปจนสำเร็จ สมบรูณ์.



                                              majanlan.jpg (7280 bytes)
              

มาร์โค โปโล(Marco Polo)


มาร์โค โปโล

                           ในปี ค.ศ. 1271 ชายหนุ่มคนหนึ่งออกจากเวนิส พร้อมกัยบิดาและลุง เพื่อเดินทางไค้ขาย เขาคือ มาร์โค โปโล คณะของเขาเดินทางผ่านเปอร์เซีย อัฟกานิสถาน และภาคเหนือของทิเบต ผ่านประเทศที่ชาวยุโรปไม่รู้จัก   ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง   สู่ราชสำนักกุบไลข่าน และได้ถวายสาส์นจาก องค์สันตะปาปา แด่จักรพรรดิ
                           มาร์โค โปโล   ได้พักอยู่ในฐานะแขกเมือง ในประเทศจีน เขาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว และได้ไปเยือนประเทศต่างๆ ไกลจนถึงพม่า แล้ก็เดินทางกลับบ้านเกิดโดยเรือ แล่นอ้อมปลายใต้สุดของอินเดียไป แล้วเดินทางทางบก ผ่านเปอร์เซีย เขาได้จากประเทศของเขาไปนานถึง 24 ปี
                         3 ปี ต่อมา มาร์โค โปโลได้ถูกจับเป็นเชลยในการรบทางทะเล ระหว่างเวนิสกับเจนัว เขาได้เล่าเรื่องราว ของเขาให้เพื่อนนักโทษฟัง ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหนังสือชื่อ การเดินทางของ มาร์โค โปโล. 



วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama)


วาสโก ดา กามา

                การค้นหาเส้นทางเดินเรือจากยุโรปมายังเอเซีย เริ่มโดน ดีแอส และ ดีโอโก แคม แต่ภาระนี้ได้สำเร็จลงโดย วาสโก ดา กามา นักเดินเรือชาวโปรตุเกส
               วาสโก ดา กามา ได้ตั้งต้นจากลิสบอน และแล่นเรือไปยังหมู่เกาะเคปเวอร์ด โดยแล่นไปทางใต้อ้อมแหลมกู้ดโฮป ไปตามชายฝั่งตะวันออกไกลไปทางเหนือจนมาถึงมาลีนดี (คีนยา) เขาได้ข้ามมหาสมุทรอินเดีย   และในปีค.ศ. 1498 ก็ได้บรรลุ ถึงชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย   และในปี ค.ศ.1499 เขาก็เดินทางกลับโปรตุเกส และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เขาเดินทางไปอินเดียอีกสองครั้ง ในปี ค.ศ.1502 และค.ศ. 1524.


vadgo.jpg (12849 bytes)

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Five Children and It


The Psammead

The Psammead
In Five Children and It, the Psammead is described as having “eyes [that] were on long horns like a snail’s eyes, and it could move them in and out like telescopes; it had ears like a bat’s ears, and its tubby body was shaped like a spider’s and covered with thick soft fur; its legs and arms were furry too, and it had hands and feet like a monkey’s” and whiskers like a rat. When it grants wishes it stretches out its eyes, holds its breath and swells alarmingly.
The five children find the Psammead in a gravel-pit, which used to be seashore. There were once many Psammeads but the others died because they got cold and wet. It is the only one of its kind left. It is thousands of years old and remembers pterodactyls and other ancient creatures. When the Psammeads were around, they granted any wishes, mostly for food. The wished-for objects would turn into stone at sunset if they were not used that day, but this doesn't apply to the children's wishes because what they wish for is so much more fantastic than the wishes the Psammead had granted in the past.  (Chapter 1)
The name Psammead, (pronounced “Sammyadd” by the children in the story) appears to be an inventive Greek pun coined by Nesbit (from the Greek ψάμμος "sand" after the pattern of dryad,naiadoread, etc.) upon the name of “Samyaza” the leader of the Grigori (“Watchers”, from Greek egrḗgoroi) supernatural creatures ofantediluvian myth. Knowing the pun's in-joke shows the logic at work behind the creature's phobia of water — “nasty wet bubbling sea” — and why its eyes are placed watchfully upon the ends of long horns like a snail's eyes.

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พายุเซินตินห์



พายุเซินตินห์

       หลายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังต้องจัดการกับความเสียหายจากอิทธิฤทธิ์ของ“เซินตินห์” ที่ซัดถล่มฟิลิปปินส์และเวียดนามเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 30 ศพ

    
       สำนักข่าวแห่งรัฐเวียดนามนิวส์ รายงานว่าพายุเซินตินห์ กำลังเคลื่อนไหวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามชายฝั่งทางเหนือของเวียดนามในวันจันทร์(29) หลังจากถาโถมหอบหลังคาบ้านเรือนหว่าหลายร้อยหลังปลินว่อนและซัดกระหน่ำแนวป้องกันอุทกภัยตลอดทั้งคืน
    
       เซินตินห์มีความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นตอนที่มันซัดขึ้นฝั่งทางเหนืของเวียดนาม ด้วยความแรงลม 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์(28) ขณะที่สำนักงานคณะกรรมธิการช่วยเหลือและค้นหาแห่งชาติ ประมาณการณ์เบื้องต้นว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายและบาดเจ็บ 2 คน
    
    

                   ก่อนหน้านี้ไต้ฝุ่นเซินตินห์ ได้คร่าชีวิตผู้คน 27 ศพ ระหว่างที่มันซัดถล่มตอนกลางของฟิลิปปินส์ช่วงปลายสัปดาห์ก่อน โดยอิทธิพลของมันนำพามาซึ่งอุทกภัยและดินถล่มหลายพื้นที่ ขณะที่ทางหน่วยงานจัดการและลดความเสี่ยงภัยพิบติแห่งชาติฟิลิปปินส์ เผยว่าจนถึงตอนนี้ยังมีผู้สูญหายอีก 9 ราย
พายุ "เซิน ตินห์" ก่อตัวนอกชายฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ทางการประกาศเตือนภัยฝนตกหนัก ขณะที่โซนร้อนศูนย์กลาง 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ สู่ทะเลจีนใต้ และทางตอนเหนือของเวียดนาม ส่วนไทยอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อย...


                                                สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 25 ต.ค.ว่า สำนักภัยพิบัติแห่งชาติฟิลิปปินส์ ประกาศเตือนภัยสภาพอากาศแปรปรวน อาจส่งผลให้ฝนตกหนักทางตอนเหนือของรัฐมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ หลังพายุโซนร้อน "เซิน ตินห์" ( Son-Tinh) เป็นภาษาเวียดนาม หมายถึงเทพเจ้าแห่งขุนเขาตามตำนานเทพของเวียดนาม ก่อตัวทางตะวันออกของประเทศ เข้าใกล้ชายฝั่งเกาะซิอาเกา รัฐคารากา อยู่ห่างเพียงแค่ 140 กิโลเมตร เมื่อ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเช้าวันพุธ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาคใต้ของฟิลิปปินส์สั่งระงับการเดินทางของผู้โดยสาร ทั้งทางเรือและทางอากาศหลายร้อยรายเพื่อความปลอดภัย ขณะนี้ศูนย์กลางพายุกำลังลมแรงราว 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง และอาจทวีเป็น 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวมาทางตะวันตกเฉียงใต้มุ่งสู่ทะเลจีนใต้ และตอนเหนือของเวียดนามภายใน 72 ชั่วโมง รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อไทยเล็กน้อย


                          อย่างไรก็ดี คาดว่าพายุดังกล่าวจะกลายเป็นไต้ฝุ่นหลังจากเคลื่อนออกจากทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์เพียงเล็กน้อย อนึ่ง ฟิลิปปินส์เผชิญพายุบ่อยครั้ง เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างแนวเข็มขัดไต้ฝุ่น (Typhoon Belt) ในแปซิฟิก แต่ละปีเผชิญพายุอย่างน้อย 21 ลูก.










วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อ็องตวน วาโต


อ็องตวน วาโต





 เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสของ “ชนชั้นสูง” (fêtes galantes) อ็องตวน วาโตเป็นหนึ่งนักวาดภาพร่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของศิลปะยุโรป

ภาพวาด “การเริ่มดำเนินการสำหรับไซเธอรา ” เป็นงานที่อ็องตวน วาโตได้รับความเป็นสมาชิกราชสถาบันศิลปะ (royal academy) เต็มตัวในพ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) มันสร้างสร้างชื่อให้เขาว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญของชนชั้นสูง” เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์เศร้าโศกและแปลกประหลาดในวันของเขา

ตลกเศร้าของวาโต ผู้เล่นเป็นปีแยโร (Pierrot) เดิมถูกระบุว่าเป็นฌีล (Gilles) ประมาณ พ.ศ. 2261-2262 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
เป็นไปได้ว่า “ฌีลเป็นปีแยโร” (Gilles as Pierrot) เป็นภาพวาดที่รู้จักดีและน่าอัศจรรย์สุดโดยวาโต ซึ่งเขาวาดคนขนาดเท่าตัวจริงและตั้งเขาบนขอบนอกของภาพราวกับว่าอยู่บนหน้าเวที จากงานทั้งหมดของวาโต “ฌีล” พิสูจน์ว่าดลใจศิลปินท่านอื่น ๆ มากสุด

ป้ายร้านของแฌร์แซ็ง (L'Enseigne de Gersaint) พ.ศ. 2263
ไม่นานก่อนความตายของเขา วาโตวาด “พินัยกรรมทางศิลปะ” ของเขา ป้ายร้านของแฌร์แซ็ง (L'Enseigne de Gersaint, Gersaint’s Sign Shop) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพวาดสุดท้ายของวาโต แฌร์แซ็งเองบรรยายว่า
“หลังจากการกลับปารีสของเขาใน เมื่อผมอยู่ในธุรกิจไม่กี่ปี วาโตมาที่ผมเพื่อจะถามว่าผมสามารถเสนอที่พักแก่เขาได้หรือไม่และผมจะยอมให้เขาอุ่นนิ้วมือของเขาหรือไม่ เพราะเขาเองจะใช้มันผลิตภาพวาดที่ผมสามารถแขวนด้านนอก ผมกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบของผมแก่เขา เนื่องจากผมจะชอบทรัพย์สินที่มากกว่า แต่เมื่อผมเห็นว่ามันจะให้ความพอใจแก่เขา ผมยินยอม ความสำเร็จของภาพวาดเป็นที่รู้กันดี ทั้งหมดวาดจากชีวิตจริง ท่าทางจริงมากและเป็นธรรมชาติมาก องค์ประกอบโดยธรรมชาติมาก กลุ่มถูกวาดดีมาก ขนาดที่พวกมันดึงดูดสายตาของคนเดินผ่าน เขาใช้หนึ่งสัปดาห์ เขาทำงานกับมันในตอนเช้า เพราะสุขภาพอ่อนแอของเขาไม่ให้มันครอบครองเวลาของเขาเป็นช่วงนานกว่านี้ ตามที่เขายอมรับอย่างเปิดเผยต่อผม มันเป็นงานเดียวที่ยกอัตตาของเขา”

สถานที่ท่องเที่ยว ประเทศไอร์แลนด์


             
ไอร์แลนด์เป็นดินแดนที่รวมไว้ซึ่งความน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก ทัศนียภาพตามธรรมชาติที่งามจับใจเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยือนดินแดนที่เปี่ยมเสน่ห์แห่งนี้

ไม่ว่าความปรารถนาของคุณจะเป็นเช่นไร สัมผัสธรรมชาติอันพิสุทธิ์ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ ท่องเที่ยวไปตามเนินเขาเขียวขจีที่เรียงรายสลับซับซ้อน หรือแวะเยือนเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเจริญหลายต่อหลายแห่ง ไอร์แลนด์มีพร้อมทุกสิ่งที่คุณต้องการอย่างครบครัน

เราได้เลือกเฟ้นสถานที่ท่องเที่ยว 10 อันดับสำคัญที่ไม่ควรพลาด มานำเสนอให้คุณดังต่อไปนี้:

ไจแอนต์สคอสเวย์ (Giant’s Causeway)


คันถนนหินแห่งนี้เกิดจากเสาหินบะซอลต์จำนวนมหาศาลที่ตั้งเบียดกันแน่นจนส่วนหัวเสาเรียงลำดับลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดที่ปูลาดจากเชิงผาลงสู่ท้องสมุทร เสาหินเหล่านี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดร่วม 40,000 เสา ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นเสาหินหกเหลี่ยม แต่ก็มีปะปนทั้งแบบสี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม เจ็ดเหลี่ยม และแปดเหลี่ยม ที่สูงที่สุดวัดได้เกือบ 40 ฟุต ส่วนที่เป็นหน้าผาเป็นหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว มีขนาดความหนา 90 ฟุต ธรรมชาติอันน่าพิศวงนี้ปรากฏให้เห็นบริเวณชายฝั่ง นอร์ธ แอนทริม โคสต์ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในความดูแลของมูลนิธิอนุรักษ์ธรรมชาติของเนขั่นแนลทรัสต์ และแหล่งมรดกโลกแห่งที่หนึ่งของไอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเยือนจากเบลฟาสต์ได้ภายในหนึ่งวัน (ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงครึ่งทางรถยนต์)

คลิฟส์ ออฟ โมเออร์ (Cliffs of Moher)


ผาชันแห่งโมเออร์ตั้งอยู่ในเขตเคาน์ตี แคลร์ เป็นหนึ่งในทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่สุดของไอร์แลนด์ ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 230 เมตรเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกอันเกรี้ยวกราด แนวผาทอดยาวสุดสายตาเป็นระยะทางราว 8 กิโลเมตร การเดินเลียบขอบผาอันสูงชันแห่งนี้นับเป็นประสบการณ์อันเร้าใจที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหน

ริง ออฟ เคอรี (Ring of Kerry)


ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตาของริง ออฟ เคอรี ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ผู้ไปเยือนไอร์แลนด์ไม่ควรพลาด ในความงามที่ไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆ คุณจะพบว่ามีกิจกรรมกลางแจ้งมากมายให้คุณได้เพลิดเพลินในท่ามกลางธรรมชาติ อาทิ การเล่นกอล์ฟ กีฬาทางน้ำ ปั่นจักรยาน การเดิน หรือขับรถเที่ยว และที่นี่ยังแหล่งตกปลาปลาแซลมอนและปลาเทร้าต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์อีกด้วย นอกจากนี้ ริง ออฟ เคอรี ยังเป็นอีกที่หนึ่งที่จะทำให้คุณสัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมของไอร์แลนด์ได้อย่างน่าทึ่ง นับจากป้อมยุคเหล็ก หินจารึกอักขระโอคัม (Ogham Stones) อารามโบราณ และภูมิทัศน์ที่เกิดจากการกัดกร่อนของหินในยุคน้ำแข็งเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว

บลาร์นีย์ แคสเซิล (Blarney Castle)


ปราสาทบลาร์นีย์ สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 600 ปีก่อนโดย คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี (Cormac MacCarthy) หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของไอร์แลนด์และเป็นสถานที่ดึงดูดใจของไอร์แลนด์นับแต่นั้น ในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวนับล้านคนหลั่งไหลไปที่บลาร์นีย์ ทำให้ที่สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของไอร์แลนด์

สิ่งที่ดึงดูดใจให้คนมาที่นี่อาจเป็นผนังหิน บลาร์นีย์ สโตน (Blarney Stone) หินในตำนานบนยอดหอคอย กล่าวกันว่า การได้จุมพิตผนังหินที่นี่จะทำให้คุณไม่อับจนโวหาร คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่มีบุคคลสำคัญหลายท่าน นับแต่เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต ไปจนถึงประธานาธิบดีอเมริกาและผู้นำโลกหลายคน รวมถึงนักแสดงชื่อก้องโลก เคยมาใช้พลานุภาพจากผนังหินแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

เทือกเขามอร์น เมาน์เทนส์ (The Mourne Mountains)


อาณาบริเวณของมอร์น เมาน์เทนส์ มีความงดงามสะดุดตา ตัวเทือกเขามีความโดดเด่นอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง ทอดยาวผ่านภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์เหนือ มียอดเขาแหลม 12 ยอด อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,000 ฟุต ทางฝั่งทะเลด้านตะวันออก

กำแพงเมือง ซิตี้ ออฟ เดอรี (Walled City of Derry)


เดอรี (ลอนดอนเดอรี) เป็นสถานที่แห่งเดียวในไอร์แลนด์ที่ยังคงมีกำแพงเมืองหลงเหลือให้เห็นอย่างสมบูรณ์ และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของนครที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบในยุโรป ตัวกำแพงสร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1613-1618 เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันสำหรับผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานชุดแรกๆ จากอังกฤษและสก็อตแลนด์ในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด

ตลอดแนวความยาวกำแพง 1.5 กิโลเมตรนี้มีทางเดินโดยรอบอยู่ด้านใน นับเป็นเส้นทางเดินสำรวจที่ไม่เหมือนที่ไหน เปิดโอกาสให้คุณได้เห็นผังเมืองเดิมซึ่งยังคงรักษาสภาพผังถนนในยุคเรอเนสซองซ์ไว้ได้จนทุกวันนี้

เกล็นดาล็อค (Glendalough)


เกล็นดาล็อค ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติ วิกโลว์ เมาน์เทนส์ พาร์ค (Wicklow Mountains National Park) โดยได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาสองทะเลสาบ” สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงลือเลื่องในเรื่องของความงามตามธรรมชาติ เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าแก่จิตใจ และแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ จึงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอของประวัติศาสตร์ในท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงาม คุณจะพบกับเส้นทางเดินบนภูเขา เส้นทางเดินป่าที่สวยงามอย่างน่าพิศวง รวมถึงเส้นทางเดินเล่นที่ลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลสาบ ซึ่งตลอดแนวทะสาบฝาแฝดของหุบเขาแห่งนี้มีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ ป้อมหิน โบสถ์คริสเตียนในยุคแรกเริ่มหลายแห่ง หอคอยทรงกลม และโบสถ์ในยุคกลาง

เดอะ เบอร์เรน (The Burren)


เดอะ เบอร์เรน คือพืดหินปูนขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมอาณาบริเวณยอดเขาและหุบผาอันเปลี่ยวร้างที่มีธารน้ำเอื่อยไหล ในความเงียบสงบของธรรมชาติรอบด้าน ที่นี่เป็นแหล่งอุดมของพืชพรรณและสัตว์ป่า ตลอดจนก้อนหินขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาที่มีอายุยาวนานยิ่งกว่าพีระมิดอียิปต์ เดอะ เบอร์เรน ทักถอความงามให้กับบรรยากาศโดยรอบด้วยสีสันและเสน่ห์เย้ายวนใจที่ชวนให้กลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า

หมู่เกาะสเกลลิคส์ (The Skelligs)


เกาะในหมู่เกาะสเกลลิคส์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับโลกด้วยสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง: เกาะสเกลลิค ไมเคิล (Skellig Michael) เป็นที่รู้จักในแวดวงโบราณคดีว่ามีสถานที่ทางศาสนาของชาวคริสเตียนสมัยแรกที่ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี และปัจจุบันได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก เกาะสมอลล์ สเกลลิค (Small Skellig) เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเช่นเดียวกันในด้านของปักษิณวิทยา เนื่องจากเป็นแหล่งอยู่อาศัยของนกแกนเน็ทราว 27,000 คู่นับเป็นอาณานิคมนกทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

สะพานเชือก คาร์ริก-อะ-รีด (Carrick-A-Rede Rope Bridge)


สะพานเชือก คาร์ริก-อะ-รีด สามารถใช้เป็นจุดชมทัศนียภาพชายฝั่งทะเลได้อย่างวิเศษสุด และยังมอบประสบการณ์การข้ามสะพานเชือกให้กับคุณด้วย แต่เดิมชาวประมงได้สร้างสะพานเชือกแห่งนี้เพื่อใช้เป็นทางข้ามช่องแคบที่มีความลึก 30 เมตร กว้าง 20 เมตร ไปยังเกาะคาร์ริก-อะ-รีด เพื่อตรวจดูแหดักปลาแซลมอน ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาที่นี่เพื่อประลองความกล้าในการข้ามสะพาน!

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อิซาเบล คาโร่ สิ้นลม! โรคกลัวอ้วน ด้วยวัยเพียง 28 ปี





   วงการนางแบบสะเทือน! เมื่อนางแบบกลัวอ้วน อิซาเบล คาโร่ สิ้นลม! ด้วยวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น ครูสอนการแสดงของนางแบบคนดัง เป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่า อิซาเบล คาโร่ ได้เสียชีวิตลงแล้วในวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยวัย 28 ปี ซึ่งรายงานระบุว่าเธอเพิ่งเดินทางกลับไปยังฝรั่งเศส ภายหลังไปทำงานที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ 
     โดยครูสอนการแสดงคนดังกล่าว ซึ่งรู้จักกับ คาโร่ มานานหลายปีกล่าวว่าเธอยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะมีผลมาจากโรคกลัวอ้วน (Anorexia) ที่นางแบบสาวต่อสู้มาเป็นเวลานาน และมีอาการป่วยมาตั้งแต่อายุ 13 ปี 
     คาโร่ เข้าโรงพยาบาลครั้งแรกตั้งแต่เธอมีอายุเพียง 20 ปี โดยในปี 2006 ต้องเข้ารักษาในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน และมีอาการโคม่า ซึ่งในตอนนั้นเธอมีน้ำหนักเพียง 25 กก. เท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าหมอให้ความเห็นว่า เธอไม่น่าจะรอดชีวิตจากอาการโคม่าในตอนนั้น แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ ซึ่งสาวที่มีความสูง 165 ซม. คนนี้เคยมีน้ำหนักตัวที่มากที่สุดเพียงแค่ 33 กก. เท่านั้น 
     อิซาเบล คาโร่ เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากการถ่ายภาพเพื่อรณรงค์ต่อต้านโรคกลัวอ้วน และค่านิยมความผอมในวงการแฟชั่น ของช่างภาพชื่อดัง โอลิเวียโร่ ทอสคานี่ เมื่อปี 2007 โดยในภาพดังกล่าว คาโร่ เปลือยกายเพื่อแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่ผ่ายผอม จนหนังติดกระดูกของเธอ โดยงานชิ้นนี้ถูกแสดงทั้งในหนังสือพิมพ์ดัง ๆ และเป็นป้ายบิลบอร์ดขนาดยักษ์ พร้อมกับตัวอักษรว่า "No Anorexia" 
     แม้ภาพโฆษณาจะถูกต่อต้านจากคนในวงการแฟชั่นบางส่วน รวมถึงโดนแบนห้ามเผยแพร่ในอิตาลี แต่มันก็ได้ก่อให้เกิดกระแส การทบทวนเรื่องค่านิยมความสวยงามของวงการแฟชั่นโลก 
     ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คาโร่ ยังได้เป็นแขกรับเชิญรายการ The Price of Beauty ของนักร้องสาวคนดัง เจสซิก้า ซิมป์สัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นค่านิยมเรื่องรูปร่าง และความผอมของผู้หญิงด้วย 


                                       

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

EXCLUSIVE มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด


Point.fr - เผยแพร่เมื่อ02/11/2011 18:29 ที่ - แก้ไขเมื่อ02/11/2011 18:35 ที่

"จุด" เผยแพร่การจัดอันดับของมหาวิทยาลัยพิเศษตามการจ้างงานของบัณฑิต อิงค์

หลักสูตรเศรษฐศาสตร์ที่ลีล I, มหาวิทยาลัยอันดับแรกในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และขั้นตอนที่สองในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสุขภาพ
หลักสูตรเศรษฐศาสตร์ที่ลีล I, มหาวิทยาลัยอันดับแรกในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และขั้นตอนที่สองในวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสุขภาพ © Nicolas เยจุด / REA
สำหรับปีที่สองติดต่อกันกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยที่ดำเนินการสำรวจครอบคลุมการจ้างงานของผู้สำเร็จการศึกษาชี้เฉพาะเผยแพร่ สามสิบเดือนหลังจากที่ปล่อยจากห้องบรรยายเมอร์อจะถามเพื่อระบุตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในอาชีพของพวกเขา พนักงานถาวรเต็มเวลาส่วนหนึ่ง ... หรือการวิจัยความหลากหลายของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมโดยกรม
จากข้อมูลเหล่านี้ชี้ได้เตรียมทราบ บรรทัดฐานของการจ้างงานเป็นที่โดดเด่น แต่มันไม่ได้เป็นเพียงหนึ่ง สถานะบัณฑิตก็พาเข้าไปในบัญชี แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับระดับค่าจ้าง ในที่สุดอัตราการตอบสนองแบบสอบถามที่ส่งมาจากกระทรวงการศึกษาสูงก็ยังเป็นเกณฑ์ที่เราได้มีการพิจารณาเพราะกำหนดความเหมาะสมของข้อมูลอื่น ๆ สถาบันที่มีการตอบสนองอัตราน้อยกว่า 30% ถูกถอดออกจากการจัดอันดับ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

Futur proche


Futur proche

Le futur proche เป็นคำกริยาที่แสดงถึงเหตุการณ์ ในอนาคตอันใกล้ จะเกิดขึ้นแน่นอนเร็วๆนี้
รูปแบบของคำกริยากาลนี้ ใช้ V.aller + V.infinitif
ดังนั้นจึงควรกระจายให้ได้ก่อน ดังนี้
Je vais
Nous allons
Tu vas
Vous allez
Il va
Ils vont
Elle va
Elles vont
โครงสร้างของประโยคจึงประกอบด้วย Sujet + V.aller + V.infinitif + Complément
สำนวนคำบ่งบอกเวลาที่สามารถใช้กับกาลนี้ ได้แก่
à tout à l'heure (อีกสักครู่)
toute de suite (เร็วๆนี้)
dans une minute (อีกหนึ่งนาที)
ตัวอย่าง
Je vais prendre le dîner avec mes parents.
ฉันจะไปรับประทานอาหารเย็นกับพ่อแม่
Tu ne vas pas travailler ?
เธอจะไม่ไปทำงานหรือ ?
Est-ce qu'elle va aller chez son copain ?
หล่อนจะไปที่บ้านเพื่อนไหม?
Ils ne vont pas aller au concert.
พวกเขาจะไม่ไปดูคอนเสิร์ต
Nous allons faire du vélo toute de suite.
อีกสักครู่พวกเราจะไปขี่รถจักรยาน
Allez-vous faire la cuisine?
คุณจะทำอาหารใช่ไหม?

เพ้อ555+

วันนี้เป็นอะไร สอบได้คะแนนห่วยมาก ครูบอกให้จดก็จดจริงๆ ไม่อ่านแล้วจะทำได้มั้ย  โดนติอีกแน่ ยิ่งช่วงนี้เค้าบอกว่าเราถดถอยลง ยังไม่ปรับปรุงตัวอีก เมื่อไหร่จะขยัน เดี๋ยวก็ไม่ทันการหรอก พรุ่งนี้เอาใหม่ ทำให้ได้ สอบอีก2ชุด อ่าน ท่อง จำ เข้าไป การบ้านวิชาอื่นก็รีบส่งให้หมด เดี๋ยวไม่มีคะแนน ท่องบทสนทนาด้วย ดูนัดดา ออง ฟร้อง ปิดเทอมนี้ - ท่องศัพท์ EN,FR หัดผันกริยา เขียนศัพท์  ฟังบทสนทนา ข่าวในเว็บ ดูหนังซับEN เตรียมตัว ต้องขยันแล้ว  แข่งกับตัวเอง เข้าใจมั้ยยยยย  ประทุมพร สู้ๆๆๆ  555+ เพ้ออีกละ!!!

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Katy Perry



แคเธอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน (อังกฤษKatheryn Elizabeth Hudson) หรือชื่อในวงการคือเคที เพอร์รี (อังกฤษKaty Perry) เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกัน เพอร์รีเติบโตมาพร้อมกับเพลงที่ร้องในโบสถ์ (gospel) และขณะที่เธอกำลังเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมปลายปีแรก เธอได้เข้าวงการเพลงในชื่อ เคที ฮัดสัน (Katy Hudson) และปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดแรกที่ชื่อว่า Katy Hudson ออกมาแต่ไม่ได้ติดชาร์ต ภายหลังเธอได้อัดร้องอัลบั้มเดี่ยวอีกหนึ่งชุด แต่ไม่เคยถูกปล่อยออกมา หลังจากเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Capitol Music Group ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นค่ายลำดับที่ 4 ตลอดระยะเวลา 7 ปี เธอก็ได้เปลี่ยนชื่อในวงการใหม่เป็น เคที เพอร์รี

ในปี ค.ศ. 2008 เธอเริ่มเป็นที่จดจำครั้งแรกด้วยผลงานอัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการของเธอที่ชื่อ One of the Boys ที่มีเพลงติดชาร์ต 10 อันดับบนสุดของบิลบอร์ดฮอต 100 ด้วยกันถึง 3 เพลง ได้แก่เพลง I Kissed A Girl, Hot n Cold และ Waking Up In Vegas เพอร์รีจัดทัวร์ที่ชื่อ Hello Katy Tour เพื่อโปรโมตอัลบั้มนี้ ในปี ค.ศ. 2010 สตูดิโออัลบั้มชุดที่สามที่ชื่อ Teenage Dream ได้ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ต บิลบอร์ด 200 และซิงเกิล 5 เพลงที่ปล่อยออกมา ได้แก่ California Gurls, Teenage Dream, Firework, E.T. และ Last Friday Night (T.G.I.F.) ต่างก็ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ทั้งสิ้น นับว่าเป็นอัลบั้มเดียว (หลังจากอัลบั้ม Bad ของไมเคิล แจ็กสัน) และเป็นนักร้องผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้เช่นนี้ เธอได้เริ่มออกทัวร์ชื่อ California Dreams Tour ซึ่งมีรายได้เกือบ 60 ล้านดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลก ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2012 เพอร์รีได้ปล่อยอัลบั้มเดิมอีกครั้งในชื่อ Teenage Dream: The Complete Confection ซึ่งทำให้มีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 อย่าง Part Of Me และอีกเพลงที่ติด 5 อันดับบนสุดอย่าง Wide Awake

เพอร์รีเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีเพลงอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ติดต่อกันถึง 52 สัปดาห์ และยังอยู่ในชาร์ตยาวต่อไปถึง 69 สัปดาห์  นับถึงปี ค.ศ. 2012 เพอร์รีได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี(Grammy Awards) ถึง 8 สาขา รวมถึง สาขาอัลบั้มแห่งปี (Teenage Dream) และสาขาบันทึกเสียงแห่งปี (เพลง Firework) ยิ่งไปกว่านั้น MTV ยังตั้งชื่อให้เธอเป็น "ศิลปินแห่งปี 2011" เธอขายดิจิทัลแทร็กได้ 37.6 ล้านหน่วยในสหรัฐอเมริกาและผลงานอัลบั้ม 11 ล้านชุดทั่วโลก และขายดิจิทัลแทร็กได้ 74.6 ล้านหน่วยทั่วโลก เพอร์รีได้เป็นกรรมการรับเชิญในรายการ The X Factor UK ซีซันที่ 7 และ American Idol ซีซันที่ 9 นอกจากนี้ เพอร์รียังได้ออกน้ำหอม 2 รุ่นได้แก่ Purr และ Meow ในด้านภาพยนตร์ เธอได้พากย์ตัวละคร Smurfette จากภาพยนตร์เรื่อง The Smurfs ในปี ค.ศ. 2011 และภาพยนตร์คอนเสิร์ตเชิงอัตชีวประวัติในรูปแบบ 3 มิติของเธอที่กำลังจะมาถึงในชื่อ Katy Perry: Part of Me ด้านชีวิตส่วนตัว เพอร์รียังเคยแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับนักแสดงตลกชาวอังกฤษ รัสเซลล์ แบรนด์ (Russell Brand) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 - ค.ศ. 2012 อีกด้วย

สไตล์การร้องของเธอ ได้รับแรงบันดาลใจจาก ซินดี ลอเปอร์ ,โจแอน เจ็ตต์ และสำเนียงการร้องแบบ มารีย เฟร็ดริกส์สัน นักร้องนำวงร็อกเซ็ตต์


โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome



          โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักจะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ แต่ก็อาจจะพบในผู้ใหญ่ได้
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุ 
           โรคปากเท้าเปื่อยเกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Coxsackievirus โดยต้องประกอบด้วยผื่นที่ มือ เท้าและที่ปาก เริ่มต้นเป็นที่ปาก เหงือก เพดาน ลิ้น และลามมาที่มือ เท้า บริเวณที่พันผ้าอ้อมเช่นก้น ผื่นจะเป็นตุ่มน้ำใส มีแผลไม่มากอายุที่เริ่มเป็นคือ 2 สัปดาห์จนถึง 3 ปีผื่นจะหายใน 5-7 วัน
อาการ 
            อาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ ไข้ เจ็บคอ มีตุ่มที่คอ ปาก เหงือกลิ้นโดยมากเป็นตุ่มน้ำมากกว่าเป็นแผล ปวดศีรษะ ผื่นเป็นมากที่มือรองลงมาพบที่เท้าที่ก้นก็พอพบได้ เบื่ออาหาร เด็กจะหงุดหงิด
ระยะฝักตัว 
            หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน
การติดต่อ 
            เชื้อนี้ติดต่อจากการสัมผัสเสมหะ น้ำลายของผู้ที่ป่วย หรือน้ำจากผื่นที่มือหรือเท้า และอุจาระ ระยะที่แพร่เชื้อประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว
การวินิจฉัย             โดยการตรวจร่างกายพบผื่นบริเวณดังกล่าว
การรักษา             ไม่มีการรักษาเฉพาะโดยมากรักษาตามอาการ ถ้ามีไข้ให้ยา paracetamol ลดไข้ห้ามให้ aspirin บ้วนปากด้วยน้ำเกลือใช้เกลือ1/2ช้อนต่อน้ำ1แก้วต้องมั่นใจว่าเด็กบ้วนคอได้ ดื่มน้ำให้พอ
โรคนี้หายเองได้ใน 5-7 วัน
โรคแทรกซ้อน 
              ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A16 ซึ่งหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อ enterovirus 71 โรคจะเป็นรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน อาจจะเกิดชักเนื่องจากไข้สูง ต้องเช็ดตัวเวลามีไข้และรับประทานยาลดไข้ อาจจะเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบและสมองอักเสบได้
การป้องกัน
              โรคมือเท้าปากจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย รวมทั้งน้ำจากตุ่ม และอุจาระ การลดความเสี่ยงของการติดต่อทำได้โดย ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงที่มีคนมาก ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีการจับ่อย เช่นลูกบิด โทรศัพท์
ควรพบแพทย์เมื่อไร ไข้สูงรับประทานยาลดไข้แล้วไม่ลง ดื่มน้ำไม่ได้และมีอาการขาดน้ำ ผิวแห้ง ปัสสาวะสีเข็ม เด็กระสับกระส่าย มีอาการชัก

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome


โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome
 เป็นโรคทมักพบการติดเชื้อในกลุ่มทารกและเด็กเล็ก แต่บางรายจะมีอาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสที่มีการติดเชื้อ โรค HFMD ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอาการไข้ร่วมกับตุ่มเล็กๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนังบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในปาก ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีอาการทางสมองร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้รุนแรงถึงเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 1-7 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirusA16 และ EV71 ผู้ป่วยจะมีไข้ฉับพลันและมีแผลเปื่อยเล็กๆ ในลำคอบริเวณเพดาน ลิ้นไก่ ทอนซิล มีอาการเจ็บคอมากร่วมกับมีน้ำลายมาก ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต และอาจมีอาการกลืนลำบากปวดท้องและอาเจียน โรคจะเป็นอยู่ 3 - 6 วัน และมักจะหายเอง 
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุของโรคมือเท้าปาก
เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enteroviruses ที่พบเฉพาะในมนุษย์ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โรคปากเท้าเปื่อยส่วนใหญ่เกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า coxsackie A16 มักไม่รุนแรง เด็กจะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน ส่วนที่เกิดจากEnterovirus 71 อาจเป็นแบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ Aseptic meningitis ที่ไม่รุนแรง หรือมีอาการคล้ายโปลิโอ ส่วนที่รุนแรงมากจนอาจเสียชีวิตจะเป็นแบบสมองอักเสบ encephalitis ซึ่งมีอาการอักเสบส่วนก้านสมองทำให้หมดสติ หากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะทำให้เกิดหัวใจวาย ความดันโลหิตจะต่ำ มีอาการหัวใจวาย และ/หรือมีภาวะน้ำท่วมปอด
อาการของโรคมือเท้าปาก
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการป่วย หรืออาจพบอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อย เป็นต้น จะปรากฏอาการดังกล่าว 3-5 วัน แล้วหายได้เอง สำหรับผู้ที่มีอาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ
  • ไข้  มีอาการไข้สูงอาจเกิน 39 องศาเซลเซียส 2 วันแล้วจะมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 37.5 - 38.5 องศาเซลเซียส อีก 3-5 วัน
  • เจ็บคอเจ็บในปากกลืนน้ำลายไม่ได้ ไม่กินอาหาร
  • พบตุ่มแผลในปาก ส่วนใหญ่พบที่เพดานอ่อนลิ้น กระพุ้งแก้ม อาจมี 1 แผล หรือ 2-3 แผล ขนาด 4-8 มิลลิลิตร เป็นสาเหตุให้เด็กไม่ดูดนม ไม่กินอาหารเพราะเจ็บ ผื่นหรือแผลในปากจะเกิดหลังจากไข้ 1-2 วัน
  • ปวดศีรษะ
  •  พบตุ่มพอง (vesicles) สีขาวขุ่นบนฐานรอบสีแดง ขนาด 3-7 มิลลิเมตร บริเวณด้านข้างของนิ้วมือ นิ้วเท้า บางครั้งพบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส้นเท้า ส่วนมากมีจำนวน 5-6 ตุ่ม เวลากดจะเจ็บ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแตกเป็นแผล จะหายไปได้เองในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ 
  • เบื่ออาหาร
  • เด็กจะหงุดหงิด
  • ในเด็กโตจะบ่นปวดศีรษะ ปวดหลัง อาจมีอาเจียน เจ็บคอ น้ำลายไหล จากนั้นจะพบตุ่มพองใส ขนาด 1-2 มิลลิเมตร 2 ข้างของบริเวณเหนือต่อมทอนซิล (anteriar fauces) ซึ่งอาจแตกเป็นแผล หลังจากระยะ 2-3 วันแรก แผลจะใหญ่ขึ้นเป็น 3-4 มิลลิเมตร จะเห็นเป็นสีขาวเหลืองอยู่บนฐานสีแดงโดยรอบ ทำให้มีอาการเจ็บคอหรือกลืนลำบากเวลาดูดนมหรือกินอาหาร เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3-6 วัน ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต 
ระยะฝักตัวของโรคมือเท้าปาก
หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน
การติดต่อของโรคมือเท้าปาก
โรคนี้มักจะติดต่อในสัปดาห์แรก เชื้อนี้ติดต่อจาก
  • จากมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ (ซึ่งอาจจะยังไม่มีอาการ) หรือน้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วย
  • และโดยการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของการไอ จาม ของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ ( droplet spread)
ระยะที่แพร่เชื้อของโรคมือเท้าปาก
ประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว การแพร่เชื้อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อออกมามาก เชื้อจะอยู่ในลำคอ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุของคอหอยและลำไส้ เพิ่มจำนวนที่ทอนซิลและเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ และเชื้อจะออกมากับอุจจาระ ยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า การแพร่กระจายของโรคเกิดจากแมลง น้ำ อาหาร หรือขยะ 

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอลิมปิกฤดูร้อน 2012


การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนประจำปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 (อังกฤษ2012 Summer Olympics) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 30 (อังกฤษ:Games of the XXX Olympiad) จะจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ระหว่างวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคมเนื่องจากชนะการประมูลเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ซึ่งนำโดยลอร์ด เซบาสเตียน โคอ์ (Lord Sebastian Coe) นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก และ เคนเนธ ลิฟวิงสโตน (Kenneth Livingstone) นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนในขณะนั้น
โดยกรุงลอนดอนกลายเป็นเมืองแรกในโลก   ที่เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ถึงสามครั้ง  ซึ่งก่อนหน้านี้ในครั้งที่ 4 (พ.ศ. 2451) และครั้งที่ 14 (พ.ศ. 2491) หลังจากนั้น มีการพัฒนาหลายพื้นที่ของกรุงลอนดอน เพื่อรองรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และจุดสนใจหลักของการแข่งขัน อยู่ที่อุทยานโอลิมปิกแห่งใหม่ ขนาด 200 เฮกตาร์ ซึ่งสร้างขึ้นภายในนิคมอุตสาหกรรมเก่า ของเมืองสแตรตเฟิร์ด (Stratford) ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน โดยการแข่งขันคราวนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้มีการใช้สนามแข่งขัน ที่มีอยู่แล้วจำนวนมาก

สถานที่และโครงสร้างพื้นฐาน



สนามกีฬาโอลิมปิกลอนดอนขณะกำลังก่อสร้าง

สนามกีฬาโอลิมปิก ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011
กีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกในครั้งนี้ จะผสมผสานกันระหว่าง สถานที่จัดงานซึ่งสร้างขึ้นใหม่ โบราณสถานที่มีอยู่แล้ว และสถานที่ชั่วคราว สำหรับบางส่วนของสถานที่เหล่านี้ ที่รู้จักโดยทั่วไปได้แก่ สวนสาธารณะไฮด์ปาร์ก และการสวนสนามของทหารม้ารักษาพระองค์ สถานที่บางส่วนจะมีการนำกลับมาใช้ใหม่ ขณะที่อย่างอื่นจะปรับขนาดหรือโยกย้าย
สถานที่จัดงานส่วนมาก แบ่งออกเป็นสามเขต ภายในเกรเทอร์ลอนดอน ประกอบด้วย เขตโอลิมปิก เขตแม่น้ำ และเขตกลาง นอกจากนั้นยังมีสถานที่จัดแข่งขัน ที่จำเป็นต้องอยู่รอบนอกเขตเกรเทอร์ลอนดอน อาทิสถาบันเรือใบแห่งชาติเวย์มัธและพอร์ตแลนด์ (Weymouth and Portland National Sailing Academy) บนเกาะแห่งพอร์ตแลนด์ (Isle of Portland) ในเมืองดอร์เซต (Dorset) ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขันเรือใบ อยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 125 ไมล์ (200 กิโลเมตร) สำหรับการแข่งขันฟุตบอลจะใช้สนามหลายแห่งทั่วสหราชอาณาจักร
โครงการอุทยานโอลิมปิกลอนดอน (London Olympic Park) ขนาด 500 เอเคอร์ เปิดเผยขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) มีการอนุมัติให้ออกแบบทำเล เมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกัน โดย ทาวเวอร์ ฮัมเล็ทส์, นิวแฮม แฮ็กนีย์ และ วอล์ทแฮม ฟอเรสท์ และการก่อสร้างเริ่มขึ้น ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) สำหรับหมู่บ้านนักกีฬาในนครพอร์ตแลนด์ เสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011)
โดยการพัฒนาของอุทยานโอลิมปิกนั้นอาจจะต้องใช้การเวนคืนพื้นที่ด้วย โดยสำนักงานการพัฒนาแห่งกรุงลอนดอนและการรถไฟลอนดอน มีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ซึ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีถึง 180 เอเคอร์ เป็นที่ดินของการทางรถไฟสแตรทฟอร์ด รวมไปถึงการสร้างบ้านใหม่ถึง 4,500 หลัง, สำนักงาน, โรงแรม และ ร้านค้า โดยล่าสุดในปีค.ศ. 2011 ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ได้ถูกสร้างเสร็จโดย เวสต์ฟิลด์ โดยที่ดิน 86% มาจากการเวนคืนพื้นที่ โดยการกระทำนี้นำไปสู่การคำถามต่างๆนานา และในครั้งนั้น มี 206 บริษัทที่ต้องย้ายออกไปในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007
นอกจากนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในฝ่ายต่อต้านการเวนคืนที่ดินกับการขับไล่และความพยายามที่จะหาวิธีที่จะหยุดการกระทำนี้ แต่พวกเขาที่ต้องย้ายออกด้วยการเวนคืนทั้งหมด 94% และที่ดินอื่นๆอีก 6% ซึ่งการเวนคืนใช้เงินทั้งหมด 9 พันล้านปอนด์

[แก้]การขนส่งสาธารณะ


บริการรถไฟความเร็วสูง "โอลิมปิก จาเวลีน"
ระบบการเดินทางสาธารณะในลอนดอน ได้คะแนนที่ไม่ค่อยดี ในการประเมินของ IOC อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานการบริหารเมืองของกรุงลอนดอน ก็ได้ปรับปรุงเพื่อต้อนรับการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ องค์การคมนาคมสำหรับลอนดอน หรือ TfL ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการเดินทางสาธารณะใหม่ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) รวมไปถึงการขยายเส้นทาง รถไฟเหนือดินลอนดอน ในเส้นทางลอนดอนตะวันออก และเพิ่มเส้นทาง รถไฟเบาสายดอคแลนดส์ และ การเดินรถไฟทางลอนดอนเหนือ และการนำเข้ารถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่มีชื่อว่า "จาเวลีน" จากบริษัทฮิตาชิ โดยชานชาลาที่ สถานีรถไฟนานาชาติสแตรทฟอร์ด (ออกแบบมาเพื่อรถไฟยูโรสตาร์) จะถูกนำมาใช้ในเส้นทางของการเดินรถไฟจาเวลีน โดยในเครือข่ายรถไฟทั้งหมด จะเพิ่มการเดินรถ 4,000 ขบวนในช่วงที่มีการแข่งขัน พร้อมทั้งเพิ่มตู้โดยสารในทุกๆวัน
องค์การคมนาคมสำหรับลอนดอน ได้ทำการสร้าง เคเบิลคาร์ ด้วยเงิน 25 ล้านปอนด์ โดยเส้นทางของเคเบิลคาร์จะข้าม แม่น้ำเทมส์ ซึ่งเคเบิลคาร์นี้จะเชื่อมทุกๆสถานที่ในการแข่งขัน โดยจะเปิดใช้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) โดยจะข้าม แม่น้ำเทมส์ ที่ กรีนวิช เพนินซูลา กับ รอยัล ด็อคส์ ซึ่งแต่ละชั่วโมงจะนำผู้โดยสาร 2,500 คน ด้วยความสูงประมาณ 50 เมตรกลางอากาศ มันถูกออกแบบมาเพื่อลดการเดินทางระหว่าง โอทู อารีนา กับ ศูนย์จัดแสดงสินค้าเอ็กซ์เซล ซึ่งเคเบิลคาร์จะให้ข้ามทุกๆ 30 วินาที

รถไฟใต้ดินลอนดอน ถูกตกแต่งเพื่อโปรโมตการแข่งขันครั้งนี้
โดยการจัดการแผนนี้จะทำให้เหล่านักกีฬา 80% สามารถเดินทางไปแข่งขันได้ในเวลาที่น้อยกว่า 20 นาที และนักกีฬา 93% ที่ใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที โดยบริเวณ อุทยานโอลิมปิกลอนดอน จะเป็นศูนย์รวมของชุมทางรถไฟขนาดใหญ่ถึง 10 สายเข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีผู้โดยสารประมาณ 240,000 คนต่อชั่วโมง นอกจากนี้ อีกแผนหนึ่งที่ดำเนินการไปแล้วถึง 90% ซึ่งจะมีทั้งสถานีขนส่งสาธารณะและอื่นๆ ส่วนสองสวนสาธารณะที่จะถูกปิดเพื่อเป็นที่จุรถ 12,000 คันต่อ 25 นาทีจาก อุทยานโอลิมปิกลอนดอน และสามารถที่จะจุผู้คนถึง 9,000 คนเพื่อที่จะขึ้นรถบัสในทุกๆ 10 นาที และการวางแผนสวนสาธารณะนี้จะอยู่ใกล้กับ แม่น้ำเทมส์ และสามารถเชื่อมต่อไปยังสนามแข่งเรือพายได้ และในถนนบางแห่งจะปิดบางช่องทางการจราจรเพื่อที่จะเป็นช่องทางการเดินรถสำหรับแขกวีไอพีและนักกีฬา


ตราสัญลักษณ์

กีฬาโอลิมปิกคราวนี้ มีตราสัญลักษณ์สองแบบคือ ตราสัญลักษณ์สำหรับเสนอชื่อประมูล เป็นภาพริบบินคาดเส้นสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว และสีแดง ที่คดเคี้ยวคล้ายรูปร่างของแม่น้ำเทมส์ ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน ลอดผ่านตัวอักษรข้อความ “LONDON 2012” ซึ่งออกแบบโดย คิโน ดีไซน์ (Kino Design) และตราสัญลักษณ์สำหรับการแข่งขันเอง เป็นภาพสื่อแสดงถึงตัวเลข 2012 ที่มีวงแหวนโอลิมปิกอยู่ภายในเลขศูนย์  ซึ่งออกแบบโดย โวลฟฟ์ โอลินส์ (Wolff Olins) ซึ่งมีการเปิดตัวและส่งมอบ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)  ทั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ส่วนสำคัญของตราสัญลักษณ์โอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์จะมีรูปแบบเดียวกัน
 โดยสีมาตรฐานคือ ม่วงแดง, เขียวส้มและฟ้าอย่างไรก็ตาม ตราสัญลักษณ์นี้สามารถรวบรวมสีสันที่หลากหลาย รวมทั้งสีในธงสหภาพ (Union Flag) ด้วยเช่นกัน

[แก้]ตุ๊กตาสัญลักษณ์

เว็นล็อก (Wenlock) กับ แมนด์วิลล์ (Mandeville) เป็นตุ๊กตาสัญลักษณ์ (Mascot) อย่างเป็นทางการของโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ โดยมีการเปิดตัวเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) ซึ่งนับเป็นครั้งที่สอง ต่อจากที่แวนคูเวอร์ของแคนาดา ซึ่งมีการเปิดตัวตุ๊กตาสัญลักษณ์ของโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์พร้อมกัน ทั้งสองตัวนี้เป็นแอนิเมชัน ที่สื่อแสดงถึงหยดเหล็กสองหยาด จากโรงถลุงเหล็กในเมืองโบลตัน
สำหรับชื่อของทั้งสองตัว คือเว็นล็อก มาจากนามสกุลของ มัช เว็นล็อก (Much Wenlock) แห่งเมืองซรอปเชียร์ (Shropshire) ผู้บุกเบิกการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปัจจุบัน กับแมนด์วิลล์ มาจากนามสกุลของ สโตก แมนด์วิลล์ (Stoke Mandeville) แห่งเมืองบักกิงแฮมเชียร์ (Buckinghamshire) ผู้บุกเบิกการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์เป็นครั้งแรก                                                         
โดยนักเขียน ไมเคิล มอร์ปูร์โก (Michael Morpurgo)    เป็นผู้เขียนแนวคิดของตุ๊กตาสัญลักษณ์คู่นี้
  จากนั้นแอนิเมชันก็ประดิษฐ์ขึ้นโดยตั้งใจจะให้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเรื่องราวต่อเนื่อง เกี่ยวกับตุ๊กตาสัญลักษณ์ที่ใช้ในการแข่งขันคราวนี้  ซึ่งมีสองเรื่องคือ “Out Of A Rainbow” ที่จะบอกเล่าความเป็นมา ของเว็นล็อกกับแมนด์วิลล์ และเรื่อง “Adventures On A Rainbow” ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่เด็กๆ จากเรื่องแรก มาพบกับตุ๊กตาสัญลักษณ์ทั้งสอง แล้วพากันทดลองเล่นกีฬาต่างๆ ในโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่มีมากมาย