วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

โจเซฟิน เบเกอร์ ไข่มุกดำแห่งยุโรป


             โจเซฟิน เบเกอร์ (Josephine Baker) ชื่อเดิมของเธอคือ ฟรีดา โจเซฟิน แม็คโดนัล (Freda Josephine McDonald) เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2449 ที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูริ โดยเธอเป็นลูกสาว ของแคร์รี่ แม็กโดนัล (Carrie McDonald) และมือกลองเอ็ดดี้ คาร์สัน (Eddie Carson) ซึ่งเอ็ดดี้ทิ้งพวกเธอไป ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้น แม่ก็แต่งงาน และมีลูกใหม่อีก 3 คน
โจเซฟินมีหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน และเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเธอเริ่มต้นร้องเพลง ที่ไนท์คลับ ในขณะที่มีอายุเพียง 8 ขวบ เมื่ออายุ 13 ปี เธอจึงทำงานเป็นบริกรหญิงที่คลับ “The Old Chauffeur's Club” และแต่งงานกับวิลลี่ เวลส์ (Willie Wells) ในเวลาต่อมา พวกเขาก็เลิกกันไป ซึ่งเธอแต่งงานและแยกทางอีก 3 ครั้ง กับวิลลี่ เบเกอร์ (Willie Baker) เธอเลือกใช้ นามสกุลของเขาเรื่อยมา, จีน ลีออง (Jean Lion) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เธอได้รับสัญชาติฝรั่งเศส และโจ โบอิลโลน (Jo Bouillon) หัวหน้าวงออเคสตร้า
               ต่อมาเธอเริ่มต้น เป็นนักเต้นอย่างจริงจัง โดยเข้าร่วมคณะแสดงหลายต่อหลายแห่ง รวมทั้งเข้าร่วม กับคณะนักร้องประสานเสียงหญิง ของบอร์ดเวย์ ต่อมาในปี พ.ศ.2468 เธอเดินทางไปสู่ปารีส เพื่อโชว์การแสดงชื่อ "La Revue Negre” โดยมีลักษณะเด่น ที่ใช้คนผิวดำเป็นผู้แสดง ด้วยน้ำเสียง และลีลาการแสดงของเธอ จึงทำให้โจเซฟินได้รับฉายาว่า “Black Venus" , “Black Pearl” และ "Creole Goddess"

          ด้วยลีลาการแสดง ที่ดึงดูด ความสนใจให้แก่ผู้ชม ทำให้โจเซฟิน กลายเป็นนักแสดง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในยุโรปคนหนึ่ง และเริ่มต้นแสดงภาพยนตร์เรื่อง “Zou-Zou” และ”Princess Tam-Tam” ในปี พ.ศ.2473 อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกา กลับไม่ชื่นชอบเธอนัก โดยเธอถูกเขียนวิจารณ์ ในหนังสือพิมพ์ว่าเป็น “โสเภณีนิโกร” (Negro wench) สร้างความเจ็บช้ำ รวมทั้งแสดง ให้เห็นความเหยียดสีผิว ระหว่างคนผิวขาว และผิวดำอย่างเด่นชัด

                           ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โจเซฟินทำหน้าที่ สืบราชการลับ (โดยเขียนข้อความลับ ในชีสเพลงของเธอ) และให้ความบันเทิง แก่กองทัพทหาร รัฐบาลฝรั่งเศส จึงมอบรางวัล Croix de Guerre และ Legion of Honor เพื่อยกย่องเกียรติของเธอ


ในปีพ.ศ.2493โจเซฟินเดินทางกลับ สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยเธอร่วมรณรงค์ เรื่องสิทธิมนุษยชนของชาวผิวสี ให้เกิดความเสมอภาคกัน ในสังคมที่มีเชื้อชาติต่างกัน อีกทั้งภายหลังสงครามสิ้นสุดลง โจเซฟินได้รับมรดก เป็นที่ดินขนาดใหญ่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เธอจึงรับเด็กกำพร้า หลากหลายเชื้อชาติทั่วโลกมาเลี้ยง เป็นบุตรบุญธรรมถึง 12 คน เพื่อพิสูจน์ว่า "เด็กที่แตกต่างกัน ทั้งเชื้อชาติและศาสนา สามารถเป็นพี่น้องกันได้"


ในปี พ.ศ.2499 เธอพักการแสดง เพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ของเธอ อย่างไรก็ตาม ด้วยครอบครัวขนาดใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้โจเซฟิน ต้องกลับมาแสดงอีกครั้ง เพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย โดยเริ่มแสดงที่ Carnegie Hall ของนิวยอร์ค ซึ่งครั้งนี้ เธอประหม่ากับสายตาของผู้ชม และนักวิจารณ์ที่จะดูถูกเธอ แต่พวกเขากลับต้อนรับเธอเป็นอย่างดี

                โจเซฟินวัย 68 ปี ขึ้นแสดงรอบปฐมทัศน์ ที่โบบิโน เธียเตอร์ (Bobino Theate) กรุงปารีส ซึ่งแสดงแบบเมดเลย์ รวมงานแสดงตลอดระยะเวลา 50 ปี บทเส้นทางบันเทิงของเธอ แต่วันต่อมา โจเซฟินเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ด้วยเส้นเลือดในสมองอุดตัน เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2518