วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พายุเซินตินห์



พายุเซินตินห์

       หลายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังต้องจัดการกับความเสียหายจากอิทธิฤทธิ์ของ“เซินตินห์” ที่ซัดถล่มฟิลิปปินส์และเวียดนามเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 30 ศพ

    
       สำนักข่าวแห่งรัฐเวียดนามนิวส์ รายงานว่าพายุเซินตินห์ กำลังเคลื่อนไหวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามชายฝั่งทางเหนือของเวียดนามในวันจันทร์(29) หลังจากถาโถมหอบหลังคาบ้านเรือนหว่าหลายร้อยหลังปลินว่อนและซัดกระหน่ำแนวป้องกันอุทกภัยตลอดทั้งคืน
    
       เซินตินห์มีความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นตอนที่มันซัดขึ้นฝั่งทางเหนืของเวียดนาม ด้วยความแรงลม 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์(28) ขณะที่สำนักงานคณะกรรมธิการช่วยเหลือและค้นหาแห่งชาติ ประมาณการณ์เบื้องต้นว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายและบาดเจ็บ 2 คน
    
    

                   ก่อนหน้านี้ไต้ฝุ่นเซินตินห์ ได้คร่าชีวิตผู้คน 27 ศพ ระหว่างที่มันซัดถล่มตอนกลางของฟิลิปปินส์ช่วงปลายสัปดาห์ก่อน โดยอิทธิพลของมันนำพามาซึ่งอุทกภัยและดินถล่มหลายพื้นที่ ขณะที่ทางหน่วยงานจัดการและลดความเสี่ยงภัยพิบติแห่งชาติฟิลิปปินส์ เผยว่าจนถึงตอนนี้ยังมีผู้สูญหายอีก 9 ราย
พายุ "เซิน ตินห์" ก่อตัวนอกชายฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ทางการประกาศเตือนภัยฝนตกหนัก ขณะที่โซนร้อนศูนย์กลาง 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ สู่ทะเลจีนใต้ และทางตอนเหนือของเวียดนาม ส่วนไทยอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อย...


                                                สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 25 ต.ค.ว่า สำนักภัยพิบัติแห่งชาติฟิลิปปินส์ ประกาศเตือนภัยสภาพอากาศแปรปรวน อาจส่งผลให้ฝนตกหนักทางตอนเหนือของรัฐมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ หลังพายุโซนร้อน "เซิน ตินห์" ( Son-Tinh) เป็นภาษาเวียดนาม หมายถึงเทพเจ้าแห่งขุนเขาตามตำนานเทพของเวียดนาม ก่อตัวทางตะวันออกของประเทศ เข้าใกล้ชายฝั่งเกาะซิอาเกา รัฐคารากา อยู่ห่างเพียงแค่ 140 กิโลเมตร เมื่อ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเช้าวันพุธ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาคใต้ของฟิลิปปินส์สั่งระงับการเดินทางของผู้โดยสาร ทั้งทางเรือและทางอากาศหลายร้อยรายเพื่อความปลอดภัย ขณะนี้ศูนย์กลางพายุกำลังลมแรงราว 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง และอาจทวีเป็น 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวมาทางตะวันตกเฉียงใต้มุ่งสู่ทะเลจีนใต้ และตอนเหนือของเวียดนามภายใน 72 ชั่วโมง รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อไทยเล็กน้อย


                          อย่างไรก็ดี คาดว่าพายุดังกล่าวจะกลายเป็นไต้ฝุ่นหลังจากเคลื่อนออกจากทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์เพียงเล็กน้อย อนึ่ง ฟิลิปปินส์เผชิญพายุบ่อยครั้ง เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างแนวเข็มขัดไต้ฝุ่น (Typhoon Belt) ในแปซิฟิก แต่ละปีเผชิญพายุอย่างน้อย 21 ลูก.










วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อ็องตวน วาโต


อ็องตวน วาโต





 เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสของ “ชนชั้นสูง” (fêtes galantes) อ็องตวน วาโตเป็นหนึ่งนักวาดภาพร่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของศิลปะยุโรป

ภาพวาด “การเริ่มดำเนินการสำหรับไซเธอรา ” เป็นงานที่อ็องตวน วาโตได้รับความเป็นสมาชิกราชสถาบันศิลปะ (royal academy) เต็มตัวในพ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) มันสร้างสร้างชื่อให้เขาว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญของชนชั้นสูง” เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์เศร้าโศกและแปลกประหลาดในวันของเขา

ตลกเศร้าของวาโต ผู้เล่นเป็นปีแยโร (Pierrot) เดิมถูกระบุว่าเป็นฌีล (Gilles) ประมาณ พ.ศ. 2261-2262 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
เป็นไปได้ว่า “ฌีลเป็นปีแยโร” (Gilles as Pierrot) เป็นภาพวาดที่รู้จักดีและน่าอัศจรรย์สุดโดยวาโต ซึ่งเขาวาดคนขนาดเท่าตัวจริงและตั้งเขาบนขอบนอกของภาพราวกับว่าอยู่บนหน้าเวที จากงานทั้งหมดของวาโต “ฌีล” พิสูจน์ว่าดลใจศิลปินท่านอื่น ๆ มากสุด

ป้ายร้านของแฌร์แซ็ง (L'Enseigne de Gersaint) พ.ศ. 2263
ไม่นานก่อนความตายของเขา วาโตวาด “พินัยกรรมทางศิลปะ” ของเขา ป้ายร้านของแฌร์แซ็ง (L'Enseigne de Gersaint, Gersaint’s Sign Shop) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพวาดสุดท้ายของวาโต แฌร์แซ็งเองบรรยายว่า
“หลังจากการกลับปารีสของเขาใน เมื่อผมอยู่ในธุรกิจไม่กี่ปี วาโตมาที่ผมเพื่อจะถามว่าผมสามารถเสนอที่พักแก่เขาได้หรือไม่และผมจะยอมให้เขาอุ่นนิ้วมือของเขาหรือไม่ เพราะเขาเองจะใช้มันผลิตภาพวาดที่ผมสามารถแขวนด้านนอก ผมกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบของผมแก่เขา เนื่องจากผมจะชอบทรัพย์สินที่มากกว่า แต่เมื่อผมเห็นว่ามันจะให้ความพอใจแก่เขา ผมยินยอม ความสำเร็จของภาพวาดเป็นที่รู้กันดี ทั้งหมดวาดจากชีวิตจริง ท่าทางจริงมากและเป็นธรรมชาติมาก องค์ประกอบโดยธรรมชาติมาก กลุ่มถูกวาดดีมาก ขนาดที่พวกมันดึงดูดสายตาของคนเดินผ่าน เขาใช้หนึ่งสัปดาห์ เขาทำงานกับมันในตอนเช้า เพราะสุขภาพอ่อนแอของเขาไม่ให้มันครอบครองเวลาของเขาเป็นช่วงนานกว่านี้ ตามที่เขายอมรับอย่างเปิดเผยต่อผม มันเป็นงานเดียวที่ยกอัตตาของเขา”

สถานที่ท่องเที่ยว ประเทศไอร์แลนด์


             
ไอร์แลนด์เป็นดินแดนที่รวมไว้ซึ่งความน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก ทัศนียภาพตามธรรมชาติที่งามจับใจเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยือนดินแดนที่เปี่ยมเสน่ห์แห่งนี้

ไม่ว่าความปรารถนาของคุณจะเป็นเช่นไร สัมผัสธรรมชาติอันพิสุทธิ์ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ ท่องเที่ยวไปตามเนินเขาเขียวขจีที่เรียงรายสลับซับซ้อน หรือแวะเยือนเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเจริญหลายต่อหลายแห่ง ไอร์แลนด์มีพร้อมทุกสิ่งที่คุณต้องการอย่างครบครัน

เราได้เลือกเฟ้นสถานที่ท่องเที่ยว 10 อันดับสำคัญที่ไม่ควรพลาด มานำเสนอให้คุณดังต่อไปนี้:

ไจแอนต์สคอสเวย์ (Giant’s Causeway)


คันถนนหินแห่งนี้เกิดจากเสาหินบะซอลต์จำนวนมหาศาลที่ตั้งเบียดกันแน่นจนส่วนหัวเสาเรียงลำดับลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดที่ปูลาดจากเชิงผาลงสู่ท้องสมุทร เสาหินเหล่านี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดร่วม 40,000 เสา ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นเสาหินหกเหลี่ยม แต่ก็มีปะปนทั้งแบบสี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม เจ็ดเหลี่ยม และแปดเหลี่ยม ที่สูงที่สุดวัดได้เกือบ 40 ฟุต ส่วนที่เป็นหน้าผาเป็นหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว มีขนาดความหนา 90 ฟุต ธรรมชาติอันน่าพิศวงนี้ปรากฏให้เห็นบริเวณชายฝั่ง นอร์ธ แอนทริม โคสต์ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในความดูแลของมูลนิธิอนุรักษ์ธรรมชาติของเนขั่นแนลทรัสต์ และแหล่งมรดกโลกแห่งที่หนึ่งของไอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเยือนจากเบลฟาสต์ได้ภายในหนึ่งวัน (ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงครึ่งทางรถยนต์)

คลิฟส์ ออฟ โมเออร์ (Cliffs of Moher)


ผาชันแห่งโมเออร์ตั้งอยู่ในเขตเคาน์ตี แคลร์ เป็นหนึ่งในทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่สุดของไอร์แลนด์ ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 230 เมตรเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกอันเกรี้ยวกราด แนวผาทอดยาวสุดสายตาเป็นระยะทางราว 8 กิโลเมตร การเดินเลียบขอบผาอันสูงชันแห่งนี้นับเป็นประสบการณ์อันเร้าใจที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหน

ริง ออฟ เคอรี (Ring of Kerry)


ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตาของริง ออฟ เคอรี ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ผู้ไปเยือนไอร์แลนด์ไม่ควรพลาด ในความงามที่ไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆ คุณจะพบว่ามีกิจกรรมกลางแจ้งมากมายให้คุณได้เพลิดเพลินในท่ามกลางธรรมชาติ อาทิ การเล่นกอล์ฟ กีฬาทางน้ำ ปั่นจักรยาน การเดิน หรือขับรถเที่ยว และที่นี่ยังแหล่งตกปลาปลาแซลมอนและปลาเทร้าต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์อีกด้วย นอกจากนี้ ริง ออฟ เคอรี ยังเป็นอีกที่หนึ่งที่จะทำให้คุณสัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมของไอร์แลนด์ได้อย่างน่าทึ่ง นับจากป้อมยุคเหล็ก หินจารึกอักขระโอคัม (Ogham Stones) อารามโบราณ และภูมิทัศน์ที่เกิดจากการกัดกร่อนของหินในยุคน้ำแข็งเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว

บลาร์นีย์ แคสเซิล (Blarney Castle)


ปราสาทบลาร์นีย์ สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 600 ปีก่อนโดย คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี (Cormac MacCarthy) หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของไอร์แลนด์และเป็นสถานที่ดึงดูดใจของไอร์แลนด์นับแต่นั้น ในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวนับล้านคนหลั่งไหลไปที่บลาร์นีย์ ทำให้ที่สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของไอร์แลนด์

สิ่งที่ดึงดูดใจให้คนมาที่นี่อาจเป็นผนังหิน บลาร์นีย์ สโตน (Blarney Stone) หินในตำนานบนยอดหอคอย กล่าวกันว่า การได้จุมพิตผนังหินที่นี่จะทำให้คุณไม่อับจนโวหาร คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่มีบุคคลสำคัญหลายท่าน นับแต่เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต ไปจนถึงประธานาธิบดีอเมริกาและผู้นำโลกหลายคน รวมถึงนักแสดงชื่อก้องโลก เคยมาใช้พลานุภาพจากผนังหินแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

เทือกเขามอร์น เมาน์เทนส์ (The Mourne Mountains)


อาณาบริเวณของมอร์น เมาน์เทนส์ มีความงดงามสะดุดตา ตัวเทือกเขามีความโดดเด่นอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง ทอดยาวผ่านภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์เหนือ มียอดเขาแหลม 12 ยอด อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,000 ฟุต ทางฝั่งทะเลด้านตะวันออก

กำแพงเมือง ซิตี้ ออฟ เดอรี (Walled City of Derry)


เดอรี (ลอนดอนเดอรี) เป็นสถานที่แห่งเดียวในไอร์แลนด์ที่ยังคงมีกำแพงเมืองหลงเหลือให้เห็นอย่างสมบูรณ์ และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของนครที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบในยุโรป ตัวกำแพงสร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1613-1618 เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันสำหรับผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานชุดแรกๆ จากอังกฤษและสก็อตแลนด์ในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด

ตลอดแนวความยาวกำแพง 1.5 กิโลเมตรนี้มีทางเดินโดยรอบอยู่ด้านใน นับเป็นเส้นทางเดินสำรวจที่ไม่เหมือนที่ไหน เปิดโอกาสให้คุณได้เห็นผังเมืองเดิมซึ่งยังคงรักษาสภาพผังถนนในยุคเรอเนสซองซ์ไว้ได้จนทุกวันนี้

เกล็นดาล็อค (Glendalough)


เกล็นดาล็อค ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติ วิกโลว์ เมาน์เทนส์ พาร์ค (Wicklow Mountains National Park) โดยได้รับฉายาว่าเป็น “หุบเขาสองทะเลสาบ” สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงลือเลื่องในเรื่องของความงามตามธรรมชาติ เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าแก่จิตใจ และแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ จึงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอของประวัติศาสตร์ในท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงาม คุณจะพบกับเส้นทางเดินบนภูเขา เส้นทางเดินป่าที่สวยงามอย่างน่าพิศวง รวมถึงเส้นทางเดินเล่นที่ลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลสาบ ซึ่งตลอดแนวทะสาบฝาแฝดของหุบเขาแห่งนี้มีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ ป้อมหิน โบสถ์คริสเตียนในยุคแรกเริ่มหลายแห่ง หอคอยทรงกลม และโบสถ์ในยุคกลาง

เดอะ เบอร์เรน (The Burren)


เดอะ เบอร์เรน คือพืดหินปูนขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมอาณาบริเวณยอดเขาและหุบผาอันเปลี่ยวร้างที่มีธารน้ำเอื่อยไหล ในความเงียบสงบของธรรมชาติรอบด้าน ที่นี่เป็นแหล่งอุดมของพืชพรรณและสัตว์ป่า ตลอดจนก้อนหินขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาที่มีอายุยาวนานยิ่งกว่าพีระมิดอียิปต์ เดอะ เบอร์เรน ทักถอความงามให้กับบรรยากาศโดยรอบด้วยสีสันและเสน่ห์เย้ายวนใจที่ชวนให้กลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า

หมู่เกาะสเกลลิคส์ (The Skelligs)


เกาะในหมู่เกาะสเกลลิคส์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับโลกด้วยสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง: เกาะสเกลลิค ไมเคิล (Skellig Michael) เป็นที่รู้จักในแวดวงโบราณคดีว่ามีสถานที่ทางศาสนาของชาวคริสเตียนสมัยแรกที่ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี และปัจจุบันได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก เกาะสมอลล์ สเกลลิค (Small Skellig) เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเช่นเดียวกันในด้านของปักษิณวิทยา เนื่องจากเป็นแหล่งอยู่อาศัยของนกแกนเน็ทราว 27,000 คู่นับเป็นอาณานิคมนกทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

สะพานเชือก คาร์ริก-อะ-รีด (Carrick-A-Rede Rope Bridge)


สะพานเชือก คาร์ริก-อะ-รีด สามารถใช้เป็นจุดชมทัศนียภาพชายฝั่งทะเลได้อย่างวิเศษสุด และยังมอบประสบการณ์การข้ามสะพานเชือกให้กับคุณด้วย แต่เดิมชาวประมงได้สร้างสะพานเชือกแห่งนี้เพื่อใช้เป็นทางข้ามช่องแคบที่มีความลึก 30 เมตร กว้าง 20 เมตร ไปยังเกาะคาร์ริก-อะ-รีด เพื่อตรวจดูแหดักปลาแซลมอน ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาที่นี่เพื่อประลองความกล้าในการข้ามสะพาน!

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อิซาเบล คาโร่ สิ้นลม! โรคกลัวอ้วน ด้วยวัยเพียง 28 ปี





   วงการนางแบบสะเทือน! เมื่อนางแบบกลัวอ้วน อิซาเบล คาโร่ สิ้นลม! ด้วยวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น ครูสอนการแสดงของนางแบบคนดัง เป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่า อิซาเบล คาโร่ ได้เสียชีวิตลงแล้วในวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยวัย 28 ปี ซึ่งรายงานระบุว่าเธอเพิ่งเดินทางกลับไปยังฝรั่งเศส ภายหลังไปทำงานที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ 
     โดยครูสอนการแสดงคนดังกล่าว ซึ่งรู้จักกับ คาโร่ มานานหลายปีกล่าวว่าเธอยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะมีผลมาจากโรคกลัวอ้วน (Anorexia) ที่นางแบบสาวต่อสู้มาเป็นเวลานาน และมีอาการป่วยมาตั้งแต่อายุ 13 ปี 
     คาโร่ เข้าโรงพยาบาลครั้งแรกตั้งแต่เธอมีอายุเพียง 20 ปี โดยในปี 2006 ต้องเข้ารักษาในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน และมีอาการโคม่า ซึ่งในตอนนั้นเธอมีน้ำหนักเพียง 25 กก. เท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าหมอให้ความเห็นว่า เธอไม่น่าจะรอดชีวิตจากอาการโคม่าในตอนนั้น แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ ซึ่งสาวที่มีความสูง 165 ซม. คนนี้เคยมีน้ำหนักตัวที่มากที่สุดเพียงแค่ 33 กก. เท่านั้น 
     อิซาเบล คาโร่ เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากการถ่ายภาพเพื่อรณรงค์ต่อต้านโรคกลัวอ้วน และค่านิยมความผอมในวงการแฟชั่น ของช่างภาพชื่อดัง โอลิเวียโร่ ทอสคานี่ เมื่อปี 2007 โดยในภาพดังกล่าว คาโร่ เปลือยกายเพื่อแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่ผ่ายผอม จนหนังติดกระดูกของเธอ โดยงานชิ้นนี้ถูกแสดงทั้งในหนังสือพิมพ์ดัง ๆ และเป็นป้ายบิลบอร์ดขนาดยักษ์ พร้อมกับตัวอักษรว่า "No Anorexia" 
     แม้ภาพโฆษณาจะถูกต่อต้านจากคนในวงการแฟชั่นบางส่วน รวมถึงโดนแบนห้ามเผยแพร่ในอิตาลี แต่มันก็ได้ก่อให้เกิดกระแส การทบทวนเรื่องค่านิยมความสวยงามของวงการแฟชั่นโลก 
     ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คาโร่ ยังได้เป็นแขกรับเชิญรายการ The Price of Beauty ของนักร้องสาวคนดัง เจสซิก้า ซิมป์สัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นค่านิยมเรื่องรูปร่าง และความผอมของผู้หญิงด้วย